บทที่ 10 ความรู้สึกที่ไม่อาจบอก

ก๊อก! ก๊อก!

เสียงประตูหน้าห้องดังขึ้น เขารีบผุดลุกขึ้น ไม่กล้าพอจะพูดอะไรออกไปอีก คนอย่างเขาไม่เคยทำเช่นนี้ ไม่เคยอ้อนวอนให้หญิงคนไหนมาอยู่ด้วย คงไม่จำเป็นต้องทำ

ปรางค์ปรียามองตามแผ่นหลังสีหน้าสับสน ครุ่นคิดเรื่องที่เขาถามเมื่อครู่ ต้องการอะไรกันแน่ถึงได้พูดแบบนั้น เขาเกลียดเธอไม่ใช่หรือ? เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะเขาชิงชังไม่ใช่หรือไง

เขาเดินออกมาจากห้องแม้กายยังครุกรุ่นกับบทรักที่เพิ่งผ่านมา และถ้อยคำที่เขาพูดออกไป แต่เขาก็จำต้องทำหน้าที่ของประธานบริษัทด้วยเช่นกัน ดวงตาสีฟ้าจ้องมองไปยังร่างของชายวัยกลางคนที่นั่งก้มหน้า อยู่ในส่วนห้องรับรองแขก ส่วนผู้หญิงอีกคนก็คือเพื่อนของปรางค์ปรียานั้นเอง

พินอาภากัดฟันแน่นเดินวนไปวนมา ใจห่วงเพื่อนมากเหลือเกิน ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรร้ายแรง เสียงฝีเท้าที่เริ่มดังขึ้นทำให้เธอหันมอง ดวงตาเรียวเบิกกว้างหญิงสาวรีบนั่งลงข้างลุงด้วยความรู้สึกหวาดกลัว

ร่างสูงใหญ่เดินมาถึงห้องรับรอง เขาทอดกายนั่งลงบนโซฟาแล้วจ้องมายังทั้งคู่ด้วยสายตากร้าว แม้ใจอยากจะตรงเข้าไปกระชากไอ้ลูกน้องทรยศมาจัดการสักเท่าไหร่ แต่พอนึกถึงใบหน้าของคนตัวเล็กที่เขากกกอดทุกคืนเลยจำต้องอดทน อย่างน้อยเขาก็ถือว่าหลานได้เสียสละเพื่อลุง

“แกมีอะไรจะบอกกับฉันไหมไมเคิล”เขาถามเสียงเย็น

หนุ่มใหญ่สั่นเทิ้มก่อนคุกเข่าลงกับพื้น ยื่นซองเอกสารที่ขโมยจากบริษัทมาให้ เขารับมาเปิดดูเอกสารในซองดวงตาคมกริบพลิกกลับไปจ้องมองไมเคิลอีกครั้ง

แควก!

เอกสารในมือถูกเขาฉีกทิ้งอย่างไม่ไยดี ไมเคิลก้มหน้านิ่งตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนไปไหน

“นะ...นายผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ผมกลัว... พวกมันจับตัวลูกเมียผมไปแล้วให้ผมมาคอยเป็นสายในบริษัท พวกมันบอกให้ผมเอาแบบรถที่กำลังออกใหม่ไปให้พวกมัน หากผมไม่ทำพวกมันจะฆ่าลูกเมียของผม!”ไมเคิลสารภาพเสียงสั่น

คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ไม่นานจึงถอนหายใจ อยากจัดการไอ้ไมเคิลนัก แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเหตุจำเป็น ลุคส์ลุกยืนแล้วแล้วเดินไปหาบอดี้การ์ดคนสนิท

“มาติช”

“ครับนาย”

“ได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม?”

“ครับ”

“ไปจัดการพวกมันซะ ทำให้มันไม่กล้าเผยอหน้ามาทำแบบนี้อีก!”เขาบอกเสียงกร้าวดวงตาวาวโรจน์

“ได้ครับ”

บอดี้การ์ดหนุ่มรับคำสั่งแล้วออกจากคฤหาสน์ เขาหันหลังกลับมานั่งประจำที่เดิมอีกครั้ง สายตากำลังจ้องมองไปยังผู้หญิงอีกคนที่กำลังนั่งกระสับกระส่าย กวาดสายตามองหาเพื่อนไม่ลดละ

ลุคส์ลอบยิ้มแล้วหันกลับมาสนใจคู่สนทนาตนเองต่อ เป็นลูกน้องทำงานกับเขามาก็นาน แต่ทำไมมันดันไม่กล้าพูดความจริงกับเขาแบบนี้

“ฉันขอเตือนไว้ก่อนเลยนะไมเคิล ต่อไปนี้มีเรื่องอะไรให้บอกฉัน แกไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร หรือแกคิดว่าฉันคงช่วยอะไรแกไม่ได้!”

“ปะ...เปล่าครับนาย ผมแค่กลัวว่าลูกเมียผมจะเป็นอะไรไปก็เท่านั้น”

“แกไม่เชื่อใจฉันหรือไง!”

“ผมขอโทษครับ”

ชายหนุ่มจบบทสนทนากับลูกน้องแล้วหันมามองพินอาภาอีกครั้ง น่าแปลก... เป็นแค่เพื่อนกันไม่น่าจะเป็นห่วงเป็นใยกับมากขนาดนี้ ลุคส์เหลือมองสาวใช้ประจำคฤหาสน์แล้วเอ่ยปากทันที

“ไปพาผู้หญิงที่อยู่ในห้องฉันมาที่นี่หน่อย”

“ค่ะคุณชาย”สาวใช้รับคำแล้วเดินไป

พินอาภายิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำสั่งของเขา ใจเธอจดจ่อรอเพื่อนที่กำลังจะลงมาจากชั้นบน หวังว่าเพื่อนคงไม่เป็นอะไร ไม่นานนักเธอเห็นเพื่อนกำลังลมาพร้อมกับสาวใช้ พอมาถึงชั้นล่าง พินอาภารีบลุกจากโซฟาโผเข้ากอดด้วยความห่วงใย

ปรางค์ปรียาน้ำตาไหลรินไม่หยุด ในอกเจ็บร้าวจนไม่รู้จะเอ่ยออกมาเช่นไร มันเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมาน ยาวนาน และมันทำให้เธอได้ตระหนักถึงคำว่าความแค้น กัดริมฝีปากแน่นเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ตนเองเอาไว้ พินอาภาดันเพื่อออกห่างกายจ้องมองใบหน้าแววตาหม่นน้ำตาเอ่อออกมาไม่หยุด เธอทำให้ปรางค์ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากไม่ชวนเพื่อนมาเที่ยวเรื่องเลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น ปรางค์ต้องมารับเคราะห์เพราะเธอแท้ๆ

“กลับกันเถอะปรางค์ เรื่องทุกอย่างมันจบแล้ว”พินอาภาบอกเพื่อนทั้งน้ำตา

หญิงสาวเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาราคาแพง เขาไม่เอ่ยอะไรออกมามีเพียงสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกหรืออารมณ์ใดๆ

“เรากลับได้แล้วจริงๆ เหรอพิน”เธอยังคงไม่มั่นใจ

“จริงๆ ลุงเราจัดการเรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”

ปรางค์ปรียาโผเข้ากอดเพื่อนอีกครั้งด้วยความสุข เดีใจมากเหลือเกินได้รอดพ้นจากขุมนรกนี้เสียที พินอาภารีบดึงมือเพื่อนให้ตามไป เธอต้องการให้เพื่อนไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่เขากลับเดินมาดักทั้งสองไว้

หญิงสาวชะงักจับมือเพื่อนไว้แน่น พินอาภาเหลือบมองเพื่อนสาวเธอรับรู้ได้ถึงอาการสั่นสะท้าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเพื่อนเธอถึงได้หวาดกลัวมากมายขนาดนี้

“ฉันต้องการคุยกับเธอก่อน”เขาบอกพร้อมกับมองหน้าหญิงสาว

ปรางค์ปรียามองหน้าเพื่อนแล้วส่ายหน้า เธออยากจะหนีให้พ้นจากเขาจริงๆ

“คุณต้องการอะไรอีก เพื่อนฉันไม่ต้องการพูดกับคุณ!”พินอาภาพยายามช่วยเพื่อน

“หากเพื่อนเธอไม่คุย ฉันจะไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป