บทที่ 12 ความรู้สึกที่ไม่อาจบอก
ร่างบางในชุดทำงานยืนมองตนเองหน้ากระจก ใบหน้าของถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสีอ่อน ปรางค์ปรียายิ้มให้กับตนเอง ได้เวลาเริ่มต้นใหม่แล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อตนเองและครอบครัวของพิน
ปรางค์ปรียาก้าวลงบันไดมาพอดีกับเพื่อนที่กำลังลงมาเช่นเดียวกัน สองร่างเดินเคียงกันเพราะนัดหมายไปทำงานพร้อมกัน ในขณะที่ทั้งสองยืนอยู่นั้นก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ของใครบางคนมาจอดที่หน้าบ้าน ร่างสูงเดินลงมาจากรถแล้วโบกมือให้กับทั้งคู่ พินอาภายิ้มรับแล้วโบกมือตอบคว้าข้อมือเพื่อนเพื่อเข้าไปทักทายหนุ่มคนนั้น
เขาเดินมาหาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม แต่สายตากลับหยุดที่ผู้หญิงซึ่งตนหมายปองมานาน และดูเหมือนเธอเองก็มีใจให้เช่นกัน ปรางค์ปรียาเมินหน้าหนีไม่กล้าพอจะสบตา เธอกลัวเกินกว่าจะทำเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ใจก็รู้สึกชอบพอเขาไม่น้อยแต่เวลานี้มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว กวินภพมองหน้าหญิงสาวด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเธอนิ่งซึมไม่พูดจากับเขาเหมือนแต่ก่อน
“เป็นอะไรหรือเปล่าปรางค์?”กวินภพถามด้วยความแปลกใจ
“ปะ...เปล่าเราไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจนะ ไม่สบายหรือเปล่า?”ชายหนุ่มถามพลางยกมือขึ้นหมายจะแตะหน้าผาก แต่หญิงสาวกลับเบี่ยงกายหนีด้วยความตกใจ
พินอาภามองรู้ว่าเพื่อนเป็นอะไร เหตุการณ์ในฝรั่งเศสคงเป็นเรื่องฝังใจ เธอหวังให้กวินภพอาจเข้ามาช่วยเยี่ยวยาแผลใจให้กับปรางค์ แต่ดูเหมือนปราค์ไม่ยอมเปิดรับ
“ปรางค์โกรธเราหรือเปล่า ถ้าเราทำอะไรไม่ดีขอโทษนะ”
ริมฝีปากบางกัดแน่นเพื่อข่มน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา เธอพูดไม่ออก เขาไม่ผิด และคนที่ผิดคือเธอเอง เธอไม่มีค่าพออีกแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอกไปทำงานกันเถอะ!”พินอาภาตัดบท ไม่อยากให้เพื่อนสารภาพความจริงออกมาในตอนนี้ ปรางค์จะตัดทุกคนออกจากชีวิตเพียงเพราะเรื่องที่ฝรั่งเศสไม่ได้ ปราค์ไม่ใช่คนผิด
มือบางถูกรั้งให้มาที่รถ พินอาภามองเพื่อนด้วยความเข้าใจ กวินภพ มองตามสาวที่หมายปองด้วยความไม่สบายใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นยังพูดคุยสนิทสนมกับเธอได้ แต่เวลานี้ทำไมเธอถึงมีท่าทีเปลี่ยนไป ปรางค์ปรียาเปิดประตูขึ้นนั่งเบาะหน้าคู่คนขับ พินอาภาอยู่เบาะหลัง กวินภพเคลื่อนรถออกจากบริเวณรั้วบ้าน ตลอดเส้นทางมีเพียงความเงียบ และสีหน้าอันหนักใจของปรางค์ปรียา ชายหนุ่มเริ่มสับสนและหวาดหวั่นภายในใจแต่ไม่กล้าถามอะไร
รถของกวินภพมาจอดหน้าบริษัท สองสาวลงจากรถพร้อมกัน ปรางค์ปรียาแหงนหน้ามองอาคารสูงก่อนถูกพินอาภาลากเข้าด้านใน เธอทำงานที่นี่มาหลายปีแล้วหลังจากเรียนจบมา บิดามารดาของพินอาภาเป็นคนรับเข้าทำงานแม้ตอนแรกจะเป็นขี้ปากของพนักงานคนอื่น หาว่าเธอใช้เส้นเข้ามาทำงานแต่นานไปเธอสามารถพิสูจน์ฝีมือการทำงานให้ทุกคนได้เห็นและเป็นที่รักในที่สุด
พินอาภาทำงานที่นี่ในฐานะเลขาของประธานบริษัทซึ่งก็คือบิดาของตนเอง ส่วนเธอทำหน้าที่เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดและเป็นเลขาแทนพินอาภายามจำเป็น เพราะใบหน้าที่สดใสบวกกับน้ำเสียงอ่อนหวานทำให้ลูกค้าต่างชื่นชมในตัวพนักงานอย่างเธอ จนหญิงสาวได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณเป็นพนักงานดีเด่นอยู่หลายต่อหลายปี
“ยัยพินพ่อบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำงานลวกๆ!”พินอาภาโดนประธานบริษัทดุอีกครั้ง
“ก็พินบอกพ่อแล้วนี่คะว่าให้ปรางค์เป็นเลขาแทน มาให้พินทำอยู่ได้ แล้วพอทำพ่อก็บ่นไม่หยุดเลย” หญิงสาวย้อนสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“แกเรียนจบมาก็นานแล้ว จะให้พ่อเลี้ยงแกจนแก่เลยหรือไงยัยพิน พ่อไม่ได้อายุยืนขนาดนั้นนะ”
หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วชะงักก่อนอมยิ้ม เมื่อเห็นหน้าเพื่อนตนเองหน้าบูดบึ้งเพราะโดนบิดาต่อว่าเรื่องการทำงานอีกแล้ว
“ปรางค์ช่วยเราด้วย พ่อจะเทศน์เราอีกแล้ว”เธอรีบร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยไม่ได้หรอก ที่นี่เป็นที่ทำงานลูกน้องทำผิดก็ต้องโดนเจ้านายดุเป็นธรรมดา” ปรางค์ปรียาหยอก
พินอาภาเลยหน้างอแล้วสะบัดก้นเดินหนี ปรางค์ปรียาหัวเราะแผ่ว หัวใจเธอผ่อนคลายลงแล้ว ดีแล้วที่มันเป็นเช่นนี้
“อย่า อย่าทำอะไรฉัน!”
ร่างบางในนอนสายเดี่ยวสีขาวสะดุ้งตื่น เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดเต็มใบหน้า หายใจหอบเหนื่อยราวกับผ่านการวิ่งมานาน ริมฝีปากเม้มสนิท เข่าถูกยกตั้งชันมือปิดหูส่ายหน้าน้ำตาเอ่อล้นจนอาบแก้ม ทำไม ทำไมกัน เธอควรลืมมันไปได้แล้ว ชายคนนั้นยังตามมาหลอกหลอนทุกค่ำคืน เธอต้องผวาตื่น หลับไม่เคยเต็มตา จะมีสักครั้งไหมที่เธอสามารถลบเลือนอดีตอันโหดร้ายนี่ลงได้ ไม่อยากจดจำเรื่องเลวร้ายอีกแล้ว
มาติชยืนมองเจ้านายตนเองเห็นเขานั่งเงียบแทบทุกวัน บางครั้งเหม่อมองเป็นเวลาหลายชั่วโมง เขาไม่เคยเห็นเจ้านายออกไปเที่ยวที่ไหนหรือควงผู้หญิงมานอนด้วยอีกเลย หวังว่านายคงไม่หลงรักผู้หญิงไทยคนนั้นหรอก ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยุ่งยากในภายหลัง หากผู้ชายอีกคนรู้เข้า
ร่างอวบอัดเดินเข้ามาด้านในคฤหาสน์อย่างถือวิสาสะ ในขณะที่เจ้าของบ้านไม่ได้สนใจกับสาวเจ้าแม้แต่น้อย ลุคส์ระบายลมหายใจ เอมม่ามองเห็นเขาเลยเดินเข้ามาหานั่งลงเคียงข้าง
“ลุคส์คะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มชะงักหันมองคู่หมั้น
“เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจบอกเอมม่าได้นะคะ”
เอมม่ากวาดสายตามองไปรอบๆ เธอกำลังมองหาผู้หญิงคนนั้น อยากรู้ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง ตั้งแต่วันนั้นเธอไม่เคยมาที่นี่อีกเลย เพราะรู้ว่าลุคส์กำลังโกรธจัด เลยรอให้เขาอารมณ์เย็นลงก่อน
ชายหนุ่มเหลือบมองคู่หมั้นตนเองที่กำลังทำตัวเป็นสายลับด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าจะหาผู้หญิงคนนั้นล่ะก็สบายใจได้เธอไม่อยู่ที่นี่แล้ว เพราะฉะนั้นเลิกมองหาสักทีผมรำคาญ!”เสียงกร้าวดังขึ้น
คู่หมั้นสาวสะดุ้งด้วยความตกใจ เธอรีบยิ้มหวานกลบเกลื่อนแล้วดึงมือของเขาข้างหนึ่งมาแนบแก้มไว้
“เอมม่าขอโทษนะคะ เอมม่าก็แค่หวงคุณเท่านั้นเอง ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนมายุ่งกับคุณ... เพราะเอมม่ารักคุณมาก คืนนี้... เอมม่าขอค้างที่นี่นะคะ”
