บทที่ 2 หมอทอย
Nam Part
จากวันนั้นผมต้องตกอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าเด็กแว่นคนนี้ แววตาที่สดใสของมันทำให้ผมรู้สึกนึกถึงใครบางคน แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร คนที่คอยดูแลและห่วงใยทุกคนยกเว้นตัวเอง
“นี่น้ำ..เดี๋ยววันนี้เราต้องไปเรียนละ นายอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม” เสียงที่ดังมาจากในครัวลอยมาเมื่อเจ้าแว่นนั่นใส่เสื้อนักศึกษาสีขาวแล้วมันก็ดูดีเหมือนกัน ทรงผมที่ยุ่งเหยิงดูไม่เหมาะกับการเป็นหมอเลยซักนิด แต่อย่างน้อยเด็กๆ ก็น่าจะชอบมันอยู่แหละ
“อืม” ผมตอบไปสั่นๆ
“เมื่อไหร่นายจะพูดประโยคที่มันยาวๆ กว่านี้บ้างนะ” มันพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ ก่อนจะวางถ้วยข้าวต้มที่กำลังโชยกลิ่นหอมมายั่วจมูกไว้บนโต๊ะอาหาร
“ประโยคยาวๆ” นี่ไงผมพูดละ ผมเห็นมันทำท่ากรอกตาขึ้นฟ้าแล้วก็ถอนหายใจดังๆ ได้แกล้งมันแล้วก็สนุกดี
“เฮ้อ!!..ถ้าจะต้องพูดแบบนั้น เราว่านายไม่ต้องพูดก็ได้นะ” พูดจบเจ้าแว่นก็จัดแจงยากับแก้วใส่น้ำ มาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าสะพายมาคล้องที่คอไว้
“อืม..แล้วอย่าลืมกินข้าวกินยาด้วยละ วันนี้เรารีบจริงๆ ป้อนนายไม่ทัน ขอโทษด้วยนะ” นี่ผมแค่หัวแตกนะ ไม่ได้เป็นง่อยจะได้ต้องให้ใครมานั่งป้อน เจ้าแว่นนี่มันชอบทำให้ผมเคยตัว
มันรีบวิ่งไปขึ้นรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดอยู่ในโรงรถก่อนจะถอยออกมา และถึงแม้ว่ารถของมันจะอยู่ในสภาพนั้นแต่เพราะการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ที่ดี ทำให้เครื่องยนต์เงียบไม่มีสะดุดและแรงอย่างไม่น่าเชื่อ สงสัยเจ้าแว่นนี่คงไม่ได้มีดีแต่แค่รักษาคนหรอกมั้ง
ผมมองไปรอบบ้านไม้หลังนี้ที่ผมอยู่มาสองวันละ แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้อยู่เพียงลำพังคนเดียว ผมเริ่มไล่สายตาสำรวจบ้านไม้หลังเล็กนี้ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปดูรอบๆ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าทำไมจะต้องสำรวจดูด้วยแค่อะไรบางอย่างในจิตใต้สำนึกบอกผมว่าควรต้องทำแบบนี้
บ้านไม้สองชั้นริมน้ำที่มีลมพัดเอื่อยเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่ติดอยู่กับริมแม่น้ำสายใหญ่ทำให้มีเสียงเรือยนต์วิ่งผ่านบ้างเป็นระยะแต่ไม่บ่อยนัก ความสูงของหน้าตาชั้นสองถึงพื้นประมาณสามเมตรครึ่งและในบริเวณใกล้ๆ มีต้นไม้เตี้ยๆ เป็นพุ่มอยู่
ที่ริมหน้าต่างชั้นสองซึ่งเป็นห้องของเจ้าแว่นนั่นมีกระถางต้นไม้เล็กๆ ห้อยเต็มไปหมดเพราะมันเป็นคนรักต้นไม้และอะไรก็ตามที่สีเขียว โคมไฟเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานซึ่งมองเห็นได้จากด้านล่างทำให้รู้ว่ามันเจ้าแว่นมักจะเป็นพวกชอบมองวิวของแม่น้ำยามพระอาทิตย์ตกเสมอ
ภายในบ้านไม่ค่อยจะมีรูปถ่ายอะไรแขวนไว้มากนักส่วนใหญ่จะเป็นรูปของเจ้าแว่นนั่นแหละแต่ที่มากกว่านั้นก็คือรูปธรรมชาติที่ถ่ายในมุมต่างๆ แถมวิธีการปรับกล้องและแสงและเงาของมันก็อยู่ในขั้นมือโปรซะด้วย
ผมเดินไปมาจนกระทั่งมานั่งที่โต๊ะอาหารก่อนแล้วก็ต้องแปลกใจที่พบว่ามีกระดาษโพสต์อิทอันเล็กๆ เขียนแปะไว้ที่ข้างถ้วยข้าวต้ม ซึ่งแสดงถึงรายการอาหารกลางวันที่อยู่ในตู้เย็นที่สามารถอุ่นกินได้ง่ายๆ แสดงว่าเจ้าแว่นนี่มีความละเอียดและใส่ใจ ให้ตายซิผมนึกไม่ออกว่าผมกำลังรู้สึกถึงใครอยู่กันแน่
“โอ๊ย!!” ผมร้องออกมาเมื่อเส้นเลือดที่ขมับตัวเองกระตุกถี่ๆ เวลาที่ผมพยายามจะรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ นั้นขึ้นมา แต่คราวนี้มันยิ่งเจ็บรุนแรงกว่าเดิม จนรู้สึกเหมือนหัวตัวเองกำลังจะแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ผมลงมาดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้นจนตัวงองุ้มด้วยความเจ็บปวด น้ำลายที่ผมไม่สามารถบังคับปากให้หุบได้เริ่มไหลออกมาเปื้อนที่พื้น มือทั้งสองข้างเอามากุมไว้ที่หัวหวังจะให้มันบรรเทาความเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรซักนิด ใบหน้าที่บิดเบี้ยวน้ำตาที่ไหลอย่างทรมานจนอยากจะตายให้พ้นไปตอนนี้
แล้วมือนุ่มของใครคนหนึ่งก็เข้ามาประคองตัวผมให้ลุกขึ้นแล้วดึงเข้าไปไว้ในอ้อมกอด สายตาที่พร่าเลือนของผมพยายามเพ่งมองใบหน้านั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าใคร
“อุ่น.. อุ่น..” ผมเพ้อออกมาอย่างไม่รู้ว่าทำไมต้องเพ้อแบบนี้ หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ตัวอะไรอีกเลย
ความเย็นชื้นของผ้าชุบน้ำที่ลูบไล้ไปทั่วใบหนน้าทำให้ผมเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ตาของผมค่อยๆ กะพริบถี่ๆ ก่อนที่สายตาจะเริ่มปรับโฟกัสให้ชัดเจนมากขึ้น จนกระทั่งใบหน้าขาวภายใต้กรอบแว่นสีดำที่ดูกังวลเมื่อครู่จะแปรเปลี่ยนเปลี่ยนรอยยิ้มที่สดใสเมื่อเห็นว่าผมฟื้นตื่นขึ้นมา
“น้ำ..รู้สึกตัวแล้วเหรอ? โล่งอกไปที” เจ้าแว่นนั่นเอง อ้าวแล้วไหนมันบอกว่าจะไปเรียนละ
“อืม.. ไหนบอกจะไปเรียนไง” เสียงที่แหบแห้งของผมถามขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ก็ตอนแรกว่าจะไปเรียนแล้วแหละ แต่พอดีลืมไปว่ายังไม่ได้สอนวิธีใช้เตาไมโครเวฟให้นายเลยนี่หน่า แล้วตอนเที่ยงนายจะอุ่นกับข้าวกินได้ยังไงล่ะ” แววตาที่มองผม ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงความจริงใจและไม่ได้เสแสร้งแสดงว่ามันคงไม่ได้โกหกผมหรอกเรื่องที่เจ้าแว่นมันจะกลับมาสอนวิธีใช้เตาไมโครเวฟให้ผมจริง
“อืม..”
“นี่ดีนะที่เรากลับมาทัน ไม่งั้นนายอาจจะช๊อคได้เลยนะ ไม่รู้เหรอว่าตอนนี้นายต้องห้ามเครียดรู้ไหม” เสียงหมอฝึกหัดสั่งผมอย่างเอาจริงเอาจัง ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้งส่งให้เหมือนยอมรับผิด
“อืม..พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“คิดก็ดี.. แต่ถ้าความทรงจำบางอย่างมันทำร้ายเรา แล้วจะไปคิดถึงมันทำไมละ” เจ้าแว่นมันพูดโดยไม่ได้มองหน้าแต่ผมก็รู้ว่ามันพูดไปงั้นๆ แหละ
“มัวแต่พูด..แล้วไม่ไปเรียนแล้วเหรอ”
“คงไม่ไปแล้วละ เดี๋ยวนายเป็นอะไรไปอีก” เจ้าแว่นลุกขึ้นเพื่อเก็บกาละมังก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว
เหมือนจริงๆ แต่ว่าเหมือนใครละ..
ไม่ซิ..ผมต้องไม่คิดเดี๋ยวจะปวดหัวอีก..
