บทที่ 3 ค้างแรม
“ไม่เห็นแก่หน้าข้า เจ้าก็ควรเห็นแก่พี่สาวของเจ้าบ้าง”
“แล้วมีผู้ใดเห็นแก่ข้าบ้าง การเป็นเมียรองของราชบุตรเขย มันสูงส่งกว่าเป็นเมียเอกของบางสกุลอีกนะเจ้าคะ และมันไม่หรือเจ้าคะที่เราจะยังมีเขาเอาไว้ใช้งาน”
เสนาบดีหลิวนิ่งคิดตามคำพูดของบุตรสาว ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ แล้วก้าวออกจากห้องไป โดยที่ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก หากคิดถึงเรื่องหน้าตาทางสังคม อาจมีบ้างที่ถูกเย้ยหยัน แต่หากคิดในแง่ของการเป็นพ่อตาร่วมกับฮ่องเต้ มันก็มิใช่เรื่องน่าอับอาบอันใดเลย
สิบวันต่อมา ณ จวนสกุลหวัง
งานแต่งระหว่างแม่ทัพหวังลู่ฉงกับองค์หญิงหานชิน ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะของทั้งคู่ ซึ่งทุกอย่างดูจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ทว่ายังไม่ทันรุ่งสาง ประตูเมืองจำต้องถูกเปิดออก เพื่อให้ขบวนทัพของแม่ทัพหนุ่มเดินทางออกสู่สายแดนทิศเหนือ ตามที่ชายหนุ่มได้ทูลขออนุญาตจากองค์ฮ่องเต้หลังพิธีสมรส
ภายในรถม้าคันใหญ่ องค์หญิงหานซินยังคงหลับใหลอยู่บนผ้าปูขนสัตว์หนานุ่ม โดยมีแม่นมชุ่ยอิงคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แต่ที่ทำให้แม่ทัพหนุ่มและทหารทุกคนรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าใดนัก นั่นคือเหล่าบุรุษรูปงามขององค์หญิงหานชิน ที่ติดตามไปชายแดนในครั้งนี้ด้วย
หวังลู่ฉงมองบุรุษทุกคนในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีดำแดง ตัดเย็บอย่างประณีต ทุกคนล้วนแต่งกายเหมือนกัน บนศีรษะมีหมวกปีกกว้างสวมปิดบังใบหน้า ไร้รอยยิ้มหรือเสียงพูดคุย ทุกคนนั่งนิ่งเสมือนรูปปั้นอยู่บนหลังอาชาสีดำตัวใหญ่ ดูองอาจมิต่างจากทหารกล้าในกองทัพ
หากไม่รู้ว่านี้คือเหล่าบุรุษจากตำหนักหานชิน คงคิดว่าเป็นทหารองครักษ์จากวังหลวงเสียมากกว่า
ขบวนทัพเคลื่อนตัวออกพ้นประตูเมืองมาได้เล็กน้อย ก็ได้เพิ่มความเร็วขึ้นตามลำดับ หวังลู่ฉงเองก็อยากรู้นักว่าสตรีบ้าตัณหาเช่นภรรยาหมาด ๆ ของเขาจะทำเช่นไร เมื่อต้องนอนกลางดินกินกลาง อีกทั้งไม่มีพื้นที่ให้นางเสพสมกับชายหนุ่มเหล่านี้อีกด้วย
“แม่นมว่าสามีข้าเป็นเช่นไร”
คนที่ยังหลับตาอยู่บนกองผ้านุ่ม ๆ เอ่ยถามแม่นมที่กำลังนั่งเตรียมขนมให้แก่ผู้เป็นนายอยู่อีกด้าน
“ท่านแม่ทัพหาได้ชื่นชอบองค์หญิงเพคะ”
“หึ ๆ เรื่องนั้นข้ารู้ดี แค่ข้าอยากรู้ว่าทำไมเขาจึงเป็นผู้ถูกเลือก”
“สกุลหวังเป็นตระกูลภักดีมาหลายชั่วอายุคนก็จริงเพคะ แต่ชนรุ่นหลังนั้นจะคงเดิมอยู่หรือไม่ยากที่จะคาดเดาได้ การแต่งงานครั้งนี้เพียงการตัดไฟแต่ต้นลมเท่านั้นเพคะ”
“สมแล้วที่แม่นมของข้าอยู่มานาน ฮ่า ๆ”
เพี๊ยะ! ฝ่ามืออวบอูมตีเบา ๆ ยังต้นแขนเรียวของผู้เป็นนาย ซึ่งนางรักดั่งดวงใจ นับตั้งแต่สิ้นอดีตฮองเฮาไป องค์หญิงน้อยก็ตัวติดกับนางมิเคยห่างสายตา
“มิสำรวมเอาเสียเลยนะเพคะ”
“พอ ๆ กับคำเรียกขานของคนในวัง ตอนนี้ข้าคือฮูหยินแม่ทัพ ใช้คำสามัญชนจะดีที่สุด ยิ่งออกไปไกลเมืองหลวง ตำแหน่งและชาติกำเนิดของข้าก็มิควรให้ผู้ใดรู้ มันจะเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้แก่ชายหนุ่มทั้งหลายของข้า โดยเฉพาะสามีหน้าตายผู้นั้น”
การสนทนาของสองนายบ่าว ไม่อาจหลุดรอดถึงหูของแม่ทัพหนุ่มหรือทหารคนใดได้ ด้วยขบวนของนางนั้นรั้งท้าย และมีเหล่าบุรุษรูปงามนับสิบคอยล้อมรอบเอาไว้อย่างแน่นหนา
เลยเที่ยงมาได้ครึ่งชั่วยาม ขบวนทัพได้หยุดพักยังลำธารไม่ห่างจากถนนหลักเท่าใดนัก แม่ทัพหนุ่มได้ให้คนมาแจ้งแก่หญิงสาวว่าจะพักค้างแรมในป่าสำหรับคืนแรกของการเดินทาง
“อืม! ข้าไม่มีปัญหา บอกเขาเอาที่เขาสะดวกก็แล้วกัน”
จ้าวหลงค้อมศีรษะรับคำฮูหยินของตน ก่อนจะรีบกลับไปแจ้งแก่ผู้เป็นนายให้ได้ทราบ
“ท่านแม่ทัพจงใจทำเช่นนี้กับนายหญิงนะขอรับ”
ชายหนุ่มรูปงามที่กำลังยื่นถ้วยชาให้แก่หญิงสาว เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มขบขัน
“ช่างเขา ว่าแต่อีกนานแค่ไหนเราจะถึงหมู่บ้านสุ่ยหลาน”
“น่าจะราว ๆ หนึ่งเดือนขอรับ หากท่านแม่ทัพเร่งการเดินทางเช่นนี้อาจเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ก็เป็นได้ขอรับ”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็อยากจะรู้ว่าหวังลู่ฉง จะกลั่นแกล้งข้าได้อีกสักกี่น้ำ”
แม่นมได้แต่ถอนหายใจหนัก ๆ องค์หญิงของนางช่างไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องสามีภรรยาเอาเสียเลย หญิงสูงวัยได้แต่กล่าวขอโทษต่ออดีตฮองเฮา ที่นางมิสามารถทำให้องค์หญิงหานชินเป็นดั่งบุพผาดอกอื่นได้อย่างที่ควรจะเป็น
“แม่นม”
“เจ้าคะ”
“ดอกไม่มิได้กลิ่นหอม หรือกลีบบางไปเสียทุกดอกหรอกนะ อย่าได้โทษตัวเองเรื่องข้า ท่านทำดีที่สุดแล้ว ข้าคือข้าอย่าได้อยากให้ข้าเหมือนผู้ใด”
หานชินมีหรือจะไม่รู้ถึงความคิดของแม่นม นางมักได้ยินการพร่ำขอโทษต่อหน้าป้ายวิญญาณอดีตฮองเฮา หรือก็คือมารดาผู้ให้กำเนิดนางนั่นเอง ซึ่งแม่นมของนางมักทำอยู่เป็นประจำ โดยที่ไม่รู้เลยว่าถ้อยคำเหล่านั้นนางได้ยินมันจนจำได้ขึ้นใจแล้ว
“เจ้าค่ะ”
ชุ่ยอิง ทำได้เพียงรับคำผู้เป็นนายอย่างเสียมิได้ นางอาจเคร่งครัดต่อหน้าที่มากจนเกินไปก็เป็นได้ เลยทำให้ผู้เป็นนายนั้นมองออกถึงความคิดในตอนนี้ของนาง
