บทที่ 6
ฉันวิ่งออกไปข้างนอก ขึ้นรถสปอร์ตของแม่แล้วขับตรงไปยังในเมือง มุ่งหน้าไปหาร้านรองเท้าของชายคนนั้นทันที พอฉันเดินเข้าไป เขาก็ทักทายฉันทันทีด้วยใบหน้าเป็นมิตร “อรุณสวัสดิ์ เฮเลน วันสำคัญแบบนี้เป็นยังไงบ้าง” “สบายดีค่ะ แต่บอกหน่อยเถอะว่ามันเป็นยังไงบ้าง” “เพอร์เฟกต์เลย เข้ามาข้างในสิ เดี๋ยวจะให้ดู” ฉันเดินตามเขาไปหลังร้าน และที่นั่นก็มีรองเท้าสองข้างวางอยู่เพื่อให้ฉันเห็นพื้นรองเท้า “ฉันชอบมากเลยค่ะ” “ชอบเหรอ” เขาถามอย่างประหลาดใจ “ชอบสิคะ แล้วจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้พี่สาวฉันไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ยังไงเธอก็ต้องใส่มันอยู่ดี” เขาเริ่มหัวเราะ “คุณนี่ร้ายไม่เบาเลยนะ” “เปล่าค่ะ แค่เบื่อที่โดนเธอข่มอยู่เรื่อย” “ถ้างั้นก็...” เขาบรรจงใส่รองเท้าลงในถุงผ้าสวยๆ แล้วยื่นให้ฉัน ฉันจ่ายเงินแล้วขึ้นรถสปอร์ตของแม่รีบกลับบ้าน
ตอนนี้ฉันต้องเอารองเท้าของเจ้าบ่าวกลับไปคืนเขาโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น และต้องเอารองเท้าของพี่สาวกลับไปคืนโดยที่เธอไม่เห็นเหมือนกัน ฉันอยากให้มันเป็นเซอร์ไพรส์ ฉันเจอผู้ชายคนที่มาจีบฉันเมื่อคืนตอนที่เขากำลังเดินออกจากประตูพร้อมกับชุดของเพื่อนเจ้าบ่าว "นี่คุณ" ฉันร้องเรียกตามหลังเขาไป เขาหันมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าฉันพูดกับเขา "อ้อ หวัดดี" "จะไปไหนเหรอ" "พวกเพื่อนเจ้าบ่าวกำลังแต่งตัวกันอยู่ที่โรงแรมใกล้ๆ นี่น่ะ ผมแวะมาเอาเสื้อผ้าของเขา" "โอ้ เยี่ยมเลย ฉันมีของที่คุณต้องใช้พอดี" ฉันดึงรองเท้าข้างหนึ่งออกมา "โธ่เอ๊ย โชคดีนะที่เจอผมก่อน ไม่งั้นเจคคงสติแตกแน่ๆ ถ้ามีรองเท้าแค่ข้างเดียว คุณเอาไปทำอะไรมาน่ะ" "พี่สาวฉันอยากได้ 'ของบางอย่างสีฟ้า' แล้วไอเดียของฉันแต่ละอย่างก็ห่วยแตกทั้งนั้น ฉันเลยทำแบบนี้" ฉันดึงรองเท้าอีกข้างออกมาแล้วโชว์ให้เขาดูคำว่า 'ฉันยินดี' ที่ทำจากกากเพชรสีฟ้า "เจ๋งดีนะ แถมยังแปลกใหม่ด้วย แต่ผมไม่แน่ใจว่าพี่สาวคุณจะชอบหรือเปล่า รายนั้นเอาใจยากจะตาย" "นั่นน่ะสิ แต่ข้อดีของเรื่องนี้ก็คือเธอยังไงก็ต้องใส่มัน เธอไม่มีทางเลือกอื่น" เราสองคนหัวเราะออกมา จู่ๆ เขาก็หยุดแล้วพูดว่า "โอเค ขอบคุณนะ ผมต้องไปแล้ว" ฉันหันกลับไปมองหาใครสักคนที่ทำให้เขาตกใจหรืออะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่มีใครเลย
ฉันเดินเข้าบ้านไปเจอพ่อกำลังเดินขึ้นบันได “หวัดดีเฮเลน” “หวัดดีค่ะพ่อ” “พ่อว่าลูกมาสายนะ” “หนูมาสายประจำแหละค่ะพ่อ” จากนั้นฉันก็รีบเดินผ่านพ่อไปยังห้องของพี่สาว ที่ซึ่งทุกคนกำลังแต่งหน้ากันอยู่ ฉันถือรองเท้าเข้าไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นแล้ววางมันลงในกล่อง ช่างภาพเห็นฉัน แต่เธอไม่ได้พูดอะไร ซึ่งฉันก็รู้สึกขอบคุณ “มาซะเฉียดฉิวเลยนะ” “ฉันมาถึงแล้วนี่ไง โอเค๊ ตอนนี้จะไม่ไปไหนอีกแล้ว” “'ของบางอย่างสีฟ้า' ของฉันอยู่ไหน” เธอถาม แต่ขณะที่พูดก็มีผู้หญิงอีกคนดันฉันให้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มทำผมให้ “โทษทีนะเน็ตต้า ฉันยุ่งอยู่น่ะ” สีหน้าของพี่สาวฉันเหมือนพร้อมจะระเบิดออกมา “เดี๋ยวพอฉันเสร็จแล้วจะเอาให้ดู โอเคไหม” “แหม ฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นอยู่แล้วนี่” เธอหันกลับไปหาคนที่กำลังดูแลเธออยู่ ขณะที่คนหนึ่งทำผมให้ฉัน อีกคนก็ทำเล็บให้ เพื่อนเจ้าสาวแต่ละคนมีคนดูแลถึง 2 คน เรามีเพื่อนเจ้าสาว 6 คน ส่วนพี่สาวฉันมีคนดูแลถึง 3 คน บ้าเอ๊ย นี่มันเปลืองเงินชะมัด เห็นได้ชัดเลยว่าพี่สาวฉันไม่ได้ทำงานและใช้ชีวิตอยู่กับเงินของคู่หมั้นหรือว่าที่สามีในอนาคตกับเงินของพ่อ เพราะเธอผลาญเงินเหมือนกับที่ฉันใช้กระดาษชำระเลย
พอพวกเราทุกคนแต่งหน้า ทำเล็บ ทำผมเสร็จเรียบร้อย การถ่ายรูปก็เริ่มขึ้น ตอนนี้เราทุกคนสวมชุดนอนสีเขียวเซจ ใช่แล้ว งานแต่งของพี่สาวฉันเป็นสีเขียวเซจ ทุกอย่างเป็นสีเขียวเซจ มันดูเหมือนกับว่าสีเขียวเซจมาอ้วกใส่ไว้ทั่วห้อง ช่างภาพจัดท่าทางให้พวกเราเหมือนเราเป็นตุ๊กตาที่เธอจะจับขยับไปมาได้ และเราต้องยิ้มทุกครั้งที่เธอบอกว่า "ยิ้มค่ะ" หรือคำเชยๆ อย่าง "เวดดิ้ง" ฉันไม่รู้ว่าเราถ่ายรูปในชุดนอนไปกี่รูปก่อนที่จะมีคนบอกให้ไปเปลี่ยนเป็นชุดเพื่อนเจ้าสาวได้ อย่างน้อยพี่สาวฉันก็ไม่ได้ให้เราใส่ชุดที่มีระบายรุงรังและเนื้อผ้าคันๆ ชุดเพื่อนเจ้าสาวจริงๆ แล้วสวยและขับผิวมาก แต่พี่สาวฉันคือดาวเด่นของงานอย่างไม่ต้องสงสัยในชุดแต่งงานฟูฟ่องของเธอ พอถึงเวลาสวมรองเท้า ฉันก็กลั้นหายใจ เพื่อนเจ้าสาวคนสนิทช่วยเธอสวม ตอนที่เธอจับรองเท้า เธอคงรู้สึกถึงอะไรบางอย่างข้างใต้ เธอจึงพลิกมันกลับด้านแล้วโชว์ให้พี่สาวฉันดู "เซอร์ไพรส์!" ฉันตะโกน พี่สาวฉันมองที่รองเท้า มองมาที่ฉัน แล้วก็มองไปที่เพื่อนเจ้าสาวคนอื่นๆ คงเพื่อจะดูปฏิกิริยาของพวกเขา แต่ไม่มีใครทำอะไร ในที่สุดช่างภาพก็สงสารฉันแล้วพูดขึ้นว่า "เป็นไอเดียที่วิเศษมากเลยค่ะ ไม่เหมือนใครเลย" จากนั้นพี่สาวฉันก็พูดว่า "ขอบใจนะเฮเลน พี่รู้ว่าน้องต้องทำได้อยู่แล้ว" "ด้วยความยินดีจ้ะ รองเท้าของเจ้าบ่าวก็เขียนว่า 'ฉันทำด้วย' เหมือนกัน" คำพูดนั้นทำให้ทุกคนหัวเราะ ฉันมั่นใจมากว่าถ้าเราอยู่กันตามลำพัง เธอคงไม่ได้มีความสุขขนาดนี้แน่ หลังจากถ่ายรูปพี่สาวฉันไปเป็นล้านใบ ช่างภาพก็บอกให้พวกเราออกไปที่สวน เธออยากถ่ายรูปข้างนอกบ้าง พี่สาวฉันดูโกรธ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะแต่งงานกับสุดที่รักของชีวิตเลย และฉันก็มั่นใจมากว่าเธอไม่ได้โกรธฉัน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงโดนสวดไปแล้ว เธอไม่เคยกลัวที่จะด่าฉันต่อหน้าคนอื่น อันที่จริงฉันว่าเธอชอบด้วยซ้ำ
พอเราลงไปชั้นล่าง ฉันก็ดึงเธอมาข้างๆ “พี่โอเคไหม” “ก็ต้องโอเคสิ นี่มันวันแต่งงานของฉันนะ ทำไมจะไม่โอเคล่ะ” “เหรอ งั้นพี่ก็ช่วยบอกหน้าตัวเองด้วยแล้วกันว่ากำลังจะแต่งงาน เพราะหน้าพี่ดูโกรธมาก” “ก็ฉันไม่ได้โกรธนี่” “จะให้ไปหาแชมเปญมาให้ดื่มแก้เครียดไหม” “ไว้หลังถ่ายรูปเสร็จ โอเคไหม” “โอเค” เพื่อนเจ้าสาวคนสนิทวิ่งมาหาเราด้วยรองเท้าส้นสูงปรี๊ดคู่นั้น ฉันว่าส้นของเธอคงสูงกว่าของพวกเราทุกคนอีกมั้งถ้ามันจะเป็นไปได้ “ช่างภาพกำลังมองหาเจ้าสาวอยู่ ฉันน่าจะรู้ว่าเป็นเฮเลนที่ถ่วงเวลาพี่อยู่” “ใช่ ฉันเองแหละ ขอโทษที” ฉันพูด แต่ก็ส่งสายตาให้เธอ เป็นสายตาที่บอกชัดเจนว่าฉันไม่พอใจเธออย่างแรง
