บทที่ 2 เหล้าเป็นเหตุ (20%)

เจ้าของร่างสูงสง่า ใบหน้าหล่อเหลาสไตล์โอปป้าเกาหลีทว่ามีหนวดเคราชวนมอง แต่งตัวออกแนวแบดบอย กลายเป็นจุดสนใจของสาวน้อยสาวใหญ่ทันทีที่เยื้องย่างกรายเข้าสู่สถานบันเทิงชั้นนำในตัวเมืองเชียงใหม่ แววตาเย็นชาทว่าแฝงพลังอำนาจมองหากลุ่มเพื่อนซี้ ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น

“เฮ้! ไอ้เมศทางนี้!”

เสียงของเพื่อนที่นั่งข้างกายป้องปากตะโกนเรียกผู้มาใหม่ ทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยผงกหัวขึ้น ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่เดินล้วงกระเป๋ามุ่งหน้ามาเป็นใคร

ชั่วอึดใจปรเมศก็เดินมาถึงโต๊ะที่เพื่อนในแก๊งนั่งอยู่ เพื่อนสนิทของเขาทั้งสามคนจบแพทย์มาจากมหา’ลัยเดียวกับเขา และทำงานที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มหล่อมาดทะเล้นอย่างภูธฤทธิ์ วงศ์วาณิชย์ หนุ่มเซอร์มาดกวนเช่นแทนไท มโนไมย และหนุ่มตี๋มาดนิ่งอย่างดนัย อาภาศิริกุล

แต่ที่มันน่าหงุดหงิดก็คือมีตัวแถมอีกหนึ่งรายที่เขาไม่อยากจะกล่าวถึง ไม่อยากเห็นหน้าหรือเสวนาด้วย เดาว่าเพื่อนเขาหนึ่งในสามตัวต้องเป็นคนชวนยัยทอมมาด้วยแน่ๆ เพราะยัยนั่นก็ทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกับพวกเขา ถึงแม้เขาจะแทบไม่ได้คุยกับเธอ ยกเว้นจำเป็นจริงๆ เรื่องงาน แต่พนันว่าเพื่อนเขาต้องได้คุยหรือไม่ก็ชวนยัยนั่นไปแฮงเอาท์ด้วยอย่างแน่นอน เพราะสมัยเรียนพวกมันก็สนิทกับเธออยู่ไม่น้อย

ครั้นได้มองปรเมศในระยะใกล้ธารธาราก็แทบจะตะลึงตาค้าง หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ จากผู้ชายสะอาดสะอ้าน หล่อแบบโอปป้าเกาหลี พอมีหนวดมีเครามาประดับบนหน้าขาวๆ ก็ทำให้ลุคเปลี่ยนเป็นดิบเถื่อนระคนดุดันอย่างน่าทึ่ง มาดที่ออกแมนๆ ขาลุยแบบนี้ทำให้เธอเผลอมองตาไม่กะพริบ

“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหรือไง” คำพูดรวนๆ ชวนหาเรื่องของคนพาลทำให้เธอได้สติ เลือกที่จะเงียบ ก่อนจะขยับนั่งตัวตรงอย่างเกร็งๆ แล้วปรับสีหน้าให้เรียบสนิท

ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเขาก็ยังทำท่ารังเกียจเธอเหมือนเดิม…ไม่เคยเปลี่ยน

ธารธาราคิดอย่างเศร้าใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะต่อให้ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนเธอก็ยังจดจำปรเมศ จิรกุล ได้ว่าเป็นแพทย์หนุ่มที่หล่อที่สุดในรุ่น เขาขึ้นชื่อเรื่องความฮอตฉ่า เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยน เทคแคร์ดีเยี่ยม และให้เกียรติผู้หญิงทุกคน ยกเว้นเธอที่ถูกอีกฝ่ายตั้งแง่รังเกียจตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกในงานรับน้อง เพียงเพราะว่าเธอแต่งตัวและซอยผมสั้นเหมือนผู้ชาย เขาก็เลยประณามว่าเธอเป็นพวกผิดเพศ และเปิดฉากเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตั้งแต่นั้นมา คำพูดจาหยาบๆ มักจะถูกซัดใส่หน้า จนเธอต้องพลอยใช้สรรพนาม มึง กู กับเขาไปด้วย เขาอาจจะพูดจาอ่อนหวานกับผู้หญิงทั้งโลก แต่ไม่ใช่กับเธอ

“กูถามว่ามองหน้ากูทำเชี่ยอะไร!” เห็นเธอไม่ตอบเขาก็ชักสีหน้าใส่ ก่อนจะเค้นเสียงดุดันติดจะกระด้างพร้อมมองคนที่เอาแต่นั่งเม้มปากอย่างหงุดหงิด

“อ้าว...ไอ้เชี่ยนี่! มาถึงก็ปากหมาเลยนะมึง” แทนไทเอ่ยขึ้นอย่างนึกหมั่นไส้ เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันจงเกลียดจงชังอะไรธารธารานักหนา

“พวกมึงทำไมไม่บอกว่ามันมาด้วย กูจะได้ไม่มา” เขาเอ่ยเสียงแข็งๆ พลางจ้องหน้าธารธาราเขม็ง

วาจาที่แสดงถึงความรังเกียจอย่างเปิดเผยทำให้ธารธาราอยากจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น หากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาเธอคงไม่มา เพราะไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดเช่นนี้

“ไม่เอาน่าไอ้เมศ มึงจะเกลียดอะไรมันนักหนาวะ ไอ้น้ำมันก็เป็นเพื่อนเรานะโว้ย” ภูธฤทธิ์เอ่ยขึ้นอย่างเห็นใจคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักตั้งแต่โดนไอ้เพื่อนตัวร้ายของเขามองอย่างไม่เป็นมิตร

“มันไม่ใช่เพื่อนกู! กูไม่ชอบพวกผิดเพศ!”

คำพูดทำร้ายจิตใจที่ไม่ว่าจะได้ยินกี่ครั้งก็ยังสร้างความเจ็บปวด ทำให้ธารธาราอยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการแต่งหญิง แต่ใจยังไม่กล้าพอ เพราะมีปมในอดีตคอยย้ำเตือนว่าหากเธอทำอย่างนั้นพวกคนชั่วจะตามมาเอาชีวิต ได้แต่หวังลึกๆ ว่าสักวันเธอจะลืมความเลวร้ายในอดีตไปเสียสิ้น

“กูก็ไม่ชอบคนขี้เก๊กปากหมาอย่างมึงเหมือนกันล่ะว่ะ” หลังจากซัดเหล้าย้อมใจธารธาราก็เชิดหน้าสวนกลับเสียงแข็งๆ ทำให้จอมเย็นชาหน้านิ่งชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเค้นเสียงดุกร้าวลอดไรฟัน

“ปากดีแบบนี้มึงจะเอากับกูเหรอวะ”

“เฮ้ย! หยุดๆ พวกมึงนี่โตๆ กันแล้วยังจะกัดกันเหมือนหมาอยู่ได้” เห็นท่าไม่ดีภูธฤทธิ์ก็รีบห้ามทัพ ตั้งใจจะฉุดแขนปรเมศให้นั่งลงข้างๆ ทว่าแทนไทกลับสวนขึ้นเสียก่อน

“เกลียดมันนักก็มานั่งข้างๆ มันนี่มา จะได้กัดกันให้ตายกันไปข้าง”

“เรื่องอะไรกูต้องนั่งข้างมัน” ปรเมศเอ่ยอย่างหยิ่งๆ ก่อนจะทรุดกายลงนั่งข้างภูธฤทธิ์

“เออ…ไม่นั่งก็ไม่นั่งโว้ย!” แทนไทกระแทกเสียงใส่ด้วยความหมั่นไส้

“อะไรวะ ไอ้กูก็นึกว่าพวกมึงจะปรองดองกันตั้งแต่ได้ทำงานที่เดียวกันแล้วซะอีก” คนที่นั่งจิบเหล้าเงียบๆ มาโดยตลอดอย่างดนัยเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย

ธารธาราอยากจะบอกนักว่าปรเมศก็ยังเป็นปรเมศคนเดิม เขาเป็นสุภาพบุรุษและดีกับผู้หญิงทุกคนยกเว้นเธอ ตั้งแต่วันวาเลนไทน์ปีนั้นเขาและเธอก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย

การเรียนแพทยศาสตร์ใช้เวลาเรียน 6 ปี ปีแรกเรียกชั้นเตรียมแพทยศาสตร์ เรียนวิทยาศาสตร์ทั่วไปเน้นเกี่ยวข้องทางชีววิทยา ปีที่ 2-3 เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ เรียกระยะนี้ว่าพรีคลีนิก (Preclinic) ปีที่ 4-5 เรียนและฝึกงานผู้ป่วยจริงร่วมกับแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์ เรียกระยะนี้ว่าชั้นคลินิก (Clinic) และปีสุดท้ายเน้นฝึกปฏิบัติกับผู้ป่วยจริงภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่และอาจารย์ เรียกระยะนี้ว่าเอกซ์เทิร์น (Extern)

หลังเรียนจบธารธาราต้องทำงานชดใช้ทุนรัฐบาลเป็นเวลาสามปี จากนั้นก็เลือกที่จะเรียนต่อเฉพาะทาง (resident) สาขาสูตินรีแพทย์  ส่วนทายาทอภิมหาเศรษฐีอย่างปรเมศนั้นไปเรียนประสาทศัลยแพทย์ที่อเมริกาตั้งแต่เรียนจบ แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีกเลย

จนกระทั่งมาเจอกันที่โรงพยาบาลรักษ์…โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังของเชียงใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งธารธาราเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน และเพราะความฮอตในหมู่สาววายไม่ต่างจากสมัยเรียนทำให้มีสาวๆ มาตามกรี๊ด แต่ที่มันกลายเป็นปัญหาจนเธอต้องกุมขมับคือมีบุคลากรสาวถึงขั้นตบตีกันแย่งชิงเธอ ทั้งที่เธอยืนยันชัดเจนว่าตัวเองเป็นผู้หญิง และชอบผู้ชาย ไม่มีใจเอนเอียงไปทางเพศเดียวกันเด็ดขาด

ทว่าเรื่องราวกลับบานปลายใหญ่โต สองสาวที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกันโดนไล่ออกในวันรุ่งขึ้นโทษฐานที่ทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง และก่อความวุ่นวายจนเพื่อนร่วมงานไม่เป็นอันทำงาน ส่วนเธอก็ถูกเรียกตัวเข้าพบท่านรองผู้อำนวยการที่เพิ่งมารับตำแหน่ง วินาทีแรกที่ได้มีโอกาสเห็นหน้าเจ้านายของตัวเองธารธาราแทบช็อก เพราะไม่คิดว่าท่านรองฯ ที่พยาบาลสาวๆ ต่างกล่าวถึงด้วยความปลาบปลื้ม ว่าเป็นหมอผ่าตัดสมองที่ทั้งเก่ง หล่อ และรวย จะเป็นปรเมศ จิรกุล ผู้ชายพันธุ์ดิบที่เธอยังคงแอบรักไม่เสื่อมคลาย

บทก่อนหน้า
บทถัดไป