บทที่ 5 เหล้าเป็นเหตุ (100%)

“ผมจะไม่เอาเรื่องมันก็ได้ แต่อย่าให้มันมาเหยียบที่นี่อีก” ปรเมศเอ่ยอย่างเฉียบขาด ก่อนจะยื่นมือออกไปรับกระดาษชำระจากลูกน้อง เช็ดเลือดชั่วๆ ที่เปื้อนมือของตัวเองออก แล้วปากระดาษชำระลงที่พื้นต่อหน้าคู่กรณี ตบท้ายด้วยการเลิกคิ้วท้าทายพร้อมกับใช้เท้าบดขยี้อย่างโอหัง

ท่าทางกวนๆ ของคุณหมอหนุ่มมาดดิบทำเอาอีกฝ่ายออกอาการฟึดฟัด อยากจะกระโจนเข้ามาเล่นงาน แต่การ์ดของร้านล็อกตัวเอาไว้เสียก่อน

“มึงใหญ่มาจากไหนถึงกล้ามาสั่งกู!”

“กูใหญ่กว่า ‘พ่อมึง’ ก็แล้วกันล่ะ” ปรเมศเค้นเสียงกระด้างเจือดุดันลอดไรฟัน ปกติเขาไม่ชอบพูดจาข่มใครนักหรอก แต่ครั้งนี้มันเหลืออดจริงๆ

เป็นที่รู้กันในกลุ่มเพื่อนว่าหากปรเมศทำท่ากำหมัดและขบกรามแน่นอย่างนี้ อีกไม่เกินห้านาทีแม่งได้ราบเป็นหน้ากลองแน่ และดูเหมือนว่าแทนไทจะขยาดกับความดิบเถื่อนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางเป็นผู้ดีจ๋าทุกกระเบียดนิ้วของเพื่อนรัก เขาจึงเดินเข้ามาดึงแขนอีกฝ่ายไว้พร้อมเอ่ยห้ามปราม และการกระทำนั้นก็ทำให้สองหนุ่มที่เหลือต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก คืนนี้พวกเขาคงไม่ต้องรอเคลียร์ค่าเสียหายให้ทางร้าน

ปรเมศเริ่มควบคุมอารมณ์และใจเย็นลง แต่อันธพาลหนุ่มยังทำท่าจะระรานไม่เลิก

“เฮอะ…ไม่แน่จริงนี่หว่า” หลานชายท่านผู้ว่าฯ ลอยหน้ายียวนกวนประสาท ก่อนที่เพื่อนคนหนึ่งจะเดินมากระซิบกระซาบบางอย่าง ส่งผลให้มันชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะทำท่าฮึดฮัด แล้วหมุนตัวเดินลิ่วจากไปแบบไม่เหลียวหลัง เดาว่ามันคงรู้แล้วล่ะว่าปรเมศเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน

ความชุลมุนวุ่นวายจบลงด้วยการที่ไม่มีใครต้องเสียเลือดเสียเนื้อมากไปกว่านั้น กลุ่มไทยมุ่งสลายตัวกลับไปกิน ดื่ม เต้น และสรวลเสเฮฮาตามเดิม

ส่วนสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่มีประเด็นกับไอ้อันธพาลหนุ่มเพราะแย่งธารธารายังคงยืนมองหน้าคุณหมอสาวมาดทอมแต่ใจเป็นหญิงตาละห้อย

“พี่คะ…พี่เลือกพี่ชายคนนี้จริงๆ เหรอคะ”

“อือ…”

ธารธาราพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหลุดอุทานออกมาเมื่อปรเมศคว้าเข้าที่ข้อมือกลมกลึง แล้วลากให้ก้าวเดินตามกันไปด้วยสภาพทุลักทุเล ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้เสวนากับใครหน้าไหนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ทั้งนั้น!

ครั้นแม่สาวน้อยจะตามตื๊ออย่างไม่ยอมแพ้ ดนัยก็เอ่ยขัดเสียงเย็น

“ไม่ต้องตามไปหรอกน้อง เพื่อนพี่มันชอบผู้ชาย ไม่ได้ชอบเด็กที่ยังโตไม่เต็มวัยอย่างน้อง” นอกจากวาจาที่หลุดออกมาจากปากหยักจะทำให้เธอผิดหวังแล้ว สาวน้อยยังหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น แล้วทำปากยื่นสวนกลับอย่างอวดดี

“หนูโตแล้ว ไม่ใช่เด็ก”

“งั้นเหรอ…แต่พี่ว่ายังไม่โตนะ กลับไปกินนมนอนเถอะไป”

ดนัยเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ขณะกวาดสายตาคมกริบมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ ตบท้ายด้วยวาจาที่ทำให้คนฟังแทบจะกรี๊ดลั่น

จากนั้นคุณหมอหนุ่มมาดขรึมก็เดินล้วงกระเป๋าก้าวตามหลังเพื่อนไป ทิ้งให้สาวน้อยหน้ามนเม้มปากและกำหมัดแน่นด้วยความคับข้องใจ

ครั้นทุกคนกลับมานั่งลงที่โต๊ะดังเดิม การดวลเหล้าที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ปรเมศเป็นคนรินเหล้าให้ธารธาราเองกับมือ ก่อนจะยื่นแก้วของตนมาตรงหน้าพร้อมเอ่ยเป็นเชิงชักชวน

“เอ้า...ชน”

“ขอบใจนะที่มึงช่วยกู” หลังจากยกแก้วขึ้นชนกับแก้วของเขา เธอก็เอ่ยออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ ถึงแม้ปรเมศจะเป็นคนเย็นชาปากร้าย แต่เขาก็มีน้ำใจและรู้จักปกป้องผู้อื่น

“อย่าเข้าใจผิด กูเปล่าช่วยมึง ก็แค่หมั่นไส้ไอ้กร๊วกนั่นก็เลยสั่งสอนมันนิดหน่อย” พ่อคนฟอร์มจัดไหวไหล่พร้อมเอ่ยหน้าตาย

“แต่ยังไงกูก็ต้องขอบใจที่มึงยอมรับกูเป็นเพื่อน”

“เฮ้ย! ได้ไง อย่ามาลักไก่ กูยังไม่รับมึงเป็นเพื่อนโว้ย เรายังดวลเหล้ากันไม่จบเสียหน่อย เมื่อกี้กูก็แค่พูดส่งๆ ไปอย่างนั้นแหละ” ปรเมศเอ่ยแย้งเสียงเข้ม

วาจาที่หลุดออกมาจากปากหยักทำให้คนที่หลงดีใจทำหน้าเจื่อน แทนไทเห็นท่าทีผิดหวังของธารธาราก็นึกสงสารจึงตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะเอ่ยแซวเพื่อนซี้ตัวแสบด้วยความหมั่นไส้

“เฮ้ย! ไอ้เมศปากหมาคนเดิมกลับมาแล้วเหรอวะ แสดงว่าเมื่อกี้ก็แค่ร่างอวตารงั้นสิ”

“นั่นดิ ไอ้กูก็นึกว่ามึงจะทำตัวเป็นฮีโร่ปกป้องเพื่อนอย่างไอ้น้ำ แต่ที่ไหนได้ยังปากแข็งไม่ยอมรับมันเป็นเพื่อนซะงั้น” ภูธฤทธิ์ร่วมผสมโรงอย่างยิ้มๆ

“เรื่องอะไรกูจะรับมันเป็นเพื่อนง่ายๆ มันกับกูยังดวลเหล้ากันไม่รู้ผลแพ้ชนะซะหน่อย”

“เออ…งั้นพวกมึงสองคนก็รีบแดกๆ เข้าไป พวกกูง่วงจะตายชัก” คนที่นั่งเงียบมาตลอดอย่างดนัยโพล่งขึ้นพร้อมกับหาวจนน้ำตาเล็ด สภาพอ่อนเพลียไม่ต่างจากแทนไทและภูธฤทธิ์ เพราะเมื่อคืนนี้ทั้งสามคุณหมอมีเคสผ่าตัดร่วมกัน กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน แถมวันนี้ยังต้องตื่นมาเข้าเวรแต่เช้าอีก

จากนั้นปรเมศและธารธาราก็ผลัดกันยกแก้วเหล้าสาดลงคอ ตอนแรกดูกระตือรือร้น แต่พอผ่านไปนานเข้าทั้งคู่ต่างออกอาการเนือยๆ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้สมองสั่งการช้าลง และลิ้นชักจะพันกัน แต่ที่ทำให้สามคุณหมอหนุ่มซึ่งนั่งจิบเหล้าเป็นกรรมการต่างอมยิ้มด้วยความพอใจคือทั้งคู่ดูพูดกันถูกคอ ชนแก้วกันไปคุยกันไป บ้างมีเสียงหัวเราะคิกคักผสานเสียงห้าวกระด้าง ทว่าโคตรชวนฟัง

“รู้สึกว่าพอเหล้าเข้าปากพวกมึงจะดูปรองดองกันพิลึก” แทนไทเอ่ยแซวอย่างอารมณ์ดี

“ปรองดองบ้านมึงดิ แหกตาดูซะบ้าง พวกกูแค่ดวลเหล้ากันโว้ย” พ่อคนปากแข็งที่ยังพอมีสติอยู่เอ่ยแย้ง ทำเอาคนฟังส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ ขนาดมันเมาจนลิ้นพันกันมันยังไม่วายมาทำปากดีฟอร์มจัดอีก

จากนั้นสามหนุ่มก็กลั้นขำเอาไว้แทบไม่อยู่ เมื่อปรเมศชวนธารธาราคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ซึ่งไม่ว่าเขาจะเอ่ยเรื่องไหนก็ดูเหมือนเธอจะรู้ไปเสียหมด

ซัดเหล้าเข้าปากได้อีกไม่กี่แก้วธารธาราก็เอ่ยเสียงอ้อแอ้ว่าขอพักยก ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอย่างหมดสภาพ ส่วนปรเมศนั้นเอนหลังพิงพนักโซฟา แล้วนั่งหลับตานิ่งๆ เป็นที่รู้กันว่าท่าทางแบบนี้เมาชัวร์

“เฮ้ย! ไอ้เมศ มึงไหวป่ะเนี่ย” ภูธฤทธิ์เอ่ยถาม

“หวาย…” เสียงยานคางของไอ้คนปากแข็งทำให้คนฟังส่ายหน้าเบาๆ ปกติถ้าสภาพเมาค่อนข้างหนักแบบนี้หนึ่งในสามจะต้องไปส่งที่คอนโด แต่ด้วยคืนนี้ทั้งสามคุณหมอต่างเพลียพอกันจึงไม่อาจไปส่งได้

ก่อนที่ภูธฤทธิ์จะหันไปมองคนที่เมาหนักแบบไม่รู้เรื่องยิ่งกว่าเพื่อนซี้ของเขาด้วยความเป็นห่วง จากนั้นก็ถามย้ำปรเมศอีกหน

“แน่ใจนะว่ามึงไหว”

“กูบอกว่าไหวก็ไหวสิวะ” หลังจากสะบัดศีรษะแรงๆ ปรเมศก็เอ่ยตอบโต้อย่างขึงขัง พยายามจะครองสติตัวเองไม่ให้มีสภาพเมาจนน่าทุเรศอย่างสุดความสามารถ

“งั้นพวกกูฝากมึงเอาไอ้น้ำกลับด้วยนะ”

“พวกมึงจะรีบกลับไปไหน กูสองคนยังดวลเหล้ากันไม่จบเลย”

“เออ…มึงสองคนก็แดกๆ กันไปเถอะ พรุงนี้ค่อยไปเล่าให้พวกกูฟังก็ได้ว่าใครชนะ แล้วก็อย่าลืมไปส่งไอ้น้ำด้วยล่ะ” ท้ายประโยคภูธฤทธิ์ไม่ลืมที่จะเอ่ยกำชับ

“ทำไมต้องให้มันกลับกับกูด้วยวะ กูเอาบิ๊กไบค์มานะโว้ย” ปรเมศเอ่ยท้วงเสียงดังพร้อมทำหน้ายุ่ง ทำเอาคนฟังกลอกตาขึ้นฟ้าแล้วกระแทกเสียงใส่ไอ้คนเรื่องมาก

“มึงก็ให้มันซ้อนท้าย แค่นั้นจบ”

“ไม่!” การปฏิเสธอย่างสิ้นเยื่อขาดใยทำให้คนที่ฟุบอยู่กับโต๊ะถึงกับเม้มปากแน่น อยากจะลุกขึ้นมาแล้วตะโกนใส่หน้าไอ้คนใจร้ายนักว่ากูกลับเองก็ได้ แต่มิอาจทำอย่างใจปรารถนาเพราะมึนหัวสุดๆ

“งั้นพวกมึงก็ตกลงกันเอาเองว่าจะกลับยังไง พวกกูสามคนง่วงจะตายจะห่าอยู่แล้ว…ไปล่ะ” ภูธฤทธิ์ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป โดยมีแทนไทกับดนัยก้าวตามหลังไปติดๆ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป