บทที่ 4 ความทรงจำสีหม่น (100%)
12 สิงหาคม 0.09 น.
ห้องดับจิต โรงพยาบาลรักษ์
ที่ตรงนี้มันทั้งวังเวง เงียบเหงา เคว้งคว้าง และหนาวเหน็บจนน่าขนลุก มันไม่เหมาะกับเด็กวัยสิบหกอย่างคิริมาเลยสักนิด แต่ชะตาก็กำหนดให้เธอมายืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่นี่ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของเธอเกิดขึ้นที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลแห่งนี้ พ่อและแม่นอนอยู่บนเตียงข้างกันในสภาพไร้ลมหายใจ ทั้งคู่มีปากเสียงกันขั้นรุนแรง และถึงขั้นลงไม้ลงมือ ก่อนจะจบชีวิตลงด้วยคมมีดที่ต่างจ้วงแทงกัน
จากคนที่เคยรักกันปานจะกลืนกินกลับกลายเป็นเกลียดกันจนสามารถทำร้ายให้ตายกันไปข้าง เพียงเพราะมีมือที่สามเข้ามาแทรกกลาง แต่อะไรก็ไม่โหดร้ายและแสนเจ็บปวดเท่ากับทุกช่วงเวลาของการเกิดเหตุสุดสะเทือนขวัญนั้นมีเธอร่วมรับรู้และอยู่ด้วยในทุกเสี้ยววินาที พ่อกับแม่ทำร้ายกันด้วยแรงโทสะทั้งหมดที่มี โดยไม่สนเสียงร้องไห้วิงวอนปานปิ่มจะขาดใจของลูกสาวอย่างเธอ วาจาหยาบคายถูกพ่นออกมาสาดใส่หน้ากัน และถ้อยคำเหล่านั้นก็ทำให้เธอช็อกไม่น้อย เพราะได้รับรู้ความจริงอย่างกระจ่างใจว่าทำไมแม่ถึงห้ามเสมอว่าอย่าเอ่ยถึงพ่อให้ได้ยิน นั่นก็เพราะว่าพ่อยักยอกเงินของบริษัทไปปรนเปรอเมียน้อยและลูกซึ่งอายุห่างจากเธอเพียงแค่ปีเดียว นั่นก็แสดงว่าพ่อนอกใจแม่ตั้งนานแล้ว ก่อนที่ทั้งคู่จะแทงกันจนลงไปนอนจมกองเลือดในสภาพน่าหวาดผวา กว่าคิริมาจะตั้งสติและโทรเรียกรถพยาบาลได้ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว พ่อกับแม่ของเธอต่างสิ้นใจก่อนจะถึงโรงพยาบาล
การสูญเสียบุพการีในเวลาเดียวกันทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อายุเพียงสิบหกอย่างเธอช็อกจนพูดไม่ออก และทำอะไรไม่ถูก มากกว่านั้นคือหวาดกลัว เคว้งคว้าง และโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าต้องจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไรดี และเธออาจจะเป็นบ้าสติแตกจนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง หรือไม่ก็หาทางทำให้ตัวเองตายตามพ่อกับแม่ไป หากว่าทนายความประจำตระกูลไม่เข้ามาปลอบประโลม และพาไปพบจิตแพทย์เสียก่อน
สรุปวันแม่ปีนี้คิริมาไม่โผล่ไปที่โรงเรียน เพราะเธอทำใจไม่ได้ที่เห็นเด็กคนอื่นมีแม่ แต่เธอกลับไม่เหลือแม่ ความรู้สึกมันแตกต่างจากที่แม่มอบหมายให้แม่บ้านไปทำหน้าที่แทนแม่โดยสิ้นเชิง มันเทียบกันไม่ได้ เธอไม่ต้องการใคร หากจะถามว่าเธอรักพ่อกับแม่เท่ากันหรือไม่ เธอตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเธอรักและเคารพพวกท่านทั้งสองเท่าๆ กัน ถึงแม้ว่าในระยะหลังๆ พ่อจะทำเหมือนลืมว่าเธอคือลูก แต่เธอก็ยังคงรักท่านไม่เปลี่ยนแปลง แต่หากจะถามว่าเธออาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของใครมากกว่ากัน เธอก็คงจะตอบได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรองว่าแม่ เพราะเธอกับแม่มีความผูกพันกันมาตั้งแต่เล็กจนโต แม่คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเธอ
ตั้งแต่นั้นมาคิริมาก็เกลียดโรงพยาบาล พอๆ กับหวาดกลัวห้องดับจิต พะอืดพะอมกับการได้ยินคำนินทาว่าพ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้า แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ชีวิตเธอยังต้องก้าวต่อไป ฉะนั้นจึงพยายามทำเป็นหูหนวกตาบอด และยังคงเรียนอยู่ที่เดิม เพราะถึงแม้พ่อกับแม่จะจากไปแต่ฐานะทางการเงินของเธอก็ไม่ได้ด้อยลง ตรงข้ามทายาทตระกูลดังอย่างเธอกลับกลายเป็นเศรษฐีเสียด้วยซ้ำ เพราะมีเงินปันผลจากบริษัทที่เป็นมรดก เงินจากการลงทุนทำธุรกิจหลายอย่างของแม่ รวมทั้งเงินจากการเล่นหุ้นที่แม่สอนให้เธอเล่นตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี
ไม่นานคิริมาก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่คอนโดที่แม่ซื้อไว้เพียงลำพัง ส่วนคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนสวน คนขับรถ ทนายความประจำตระกูลเป็นคนจัดการมอบเงินก้อนให้ไปตั้งตัว เธอมิอาจอยู่ที่บ้านได้อีกต่อไป บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยอบอุ่น ปลอดภัย เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความสุข แต่ความสุขทั้งหมดนั้นกลับหายวับไปกับตา บ้านที่เธอเคยคิดว่าอบอุ่นกลับกลายเป็นสีเลือด น่าหวาดกลัวจนเธอมิอาจซุกหัวนอนได้อีกต่อไป เพราะหากยังอยู่ที่บ้านภาพอันเลวร้ายที่ยังติดตาคงตามหลอกหลอนเธอไปตลอดชีวิต
ชีวิตของคิริมายังคงวนเวียนอยู่ในวังวนเดิมๆ ทุกวันหลังเลิกเรียนก่อนกลับคอนโดเธอจะนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนตัวเดิมเป็นประจำ ด้วยไม่อยากกลับไปจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทมเเสนสาหัสเพียงลำพัง สาวน้อยจึงเลือกที่จะทำการบ้านจนเสร็จถึงจะเก็บกระเป๋ากลับคอนโด เธอทำเช่นนี้ทุกวันตั้งเเต่ต้องพานพบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
หลังจากพ่อกับแม่จากไป และเพื่อนสนิทย้ายไปเรียนเมืองนอกแบบกะทันหัน เธอก็ค้นพบว่าตัวเองเหลืออยู่ตัวคนเดียวอย่างแท้จริง เพื่อนที่เคยคบหาถึงจะไม่สนิทแต่ก็พูดคุยกันบ้างต่างพากันตีตัวออกห่าง เธอกลายเป็นเหมือนแกะดำหรือไม่ก็ตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจ เพียงเพราะว่าพ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้าต่อตาเธอ พวกท่านทั้งคู่เลือกที่จะจบชีวิตลงโดยทิ้งให้ลูกสาวอย่างเธอต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายมันเป็นความผิดของเธออย่างนั้นหรือ เธอผิดอะไรทำไมทุกคนถึงได้มองเธอเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่อยากเข้าใกล้
“ฉันได้ยินว่าพ่อกับแม่ยัยนั่นแทงกันตายต่อหน้าต่อตา ต้องเลือดเย็นเบอร์ไหนถึงยังลอยหน้าทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นไม่มีผลอะไรเลย”
“นั่นดิ พ่อกับแม่ฆ่ากันตายให้เห็นจะๆ เลยนะเว้ย”
นี่เป็นประโยคที่เธอได้ยินเสมอมาตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป แต่ไม่เคยทำใจได้สักที น้ำตาเจ้ากรรมเจียนจะไหล หากแต่ในใจเตือนตัวเองว่าให้เข้มแข็งเข้าไว้
“คนแบบยัยนั่นต้องหลีกหนีให้ไกล เพราะไม่แน่ว่าวันดีคืนดียัยนั่นอาจจะแทงใครแล้วทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ คนอะไรไร้ความรู้สึก…เลือดเย็นจนน่าขนลุก”
เสียงซุบซิบนินทาของเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ทำให้สาวน้อยผู้อาภัพที่ตกเป็นตัวประหลาดเพียงเพราะข่าวการฆ่ากันตายของพ่อและแม่แทบปล่อยโฮออกมา อยากจะตะโกนใส่หน้าคนพวกนั้นนักว่าใครไม่เป็นเธอคงไม่มีวันเข้าใจหรอก ว่าเธอต้องอยู่กับความเจ็บปวดและทุกข์ระทมแสนสาหัสมากเพียงใด การไม่แสดงออกทางสีหน้า การไม่ร้องไห้ฟูมฟายให้คนอื่นสงสารหรือเวทนาก็ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกเสียใจ
“หนูครีม” เสียงเรียกฟังดูนุ่มนวลทำให้คนที่กำลังนั่งตัวเกร็งน้ำตาคลอได้สติ หลุดจากภวังค์เศร้า แล้วเงยหน้ามองชายวัยใกล้เกษียณที่ใจดีกับเธอเสมอ
