บทที่ 5 ความทรงจำสีหม่น (125%)
“ลุงทนาย” น้ำเสียงสั่นเครือบวกกับนัยน์ตาแดงๆ ที่คลอเคล้าไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ทำให้ผู้ที่มาทันได้ยินเสียงซุบซิบของเด็กนักเรียนหญิงมัธยมปลายที่นั่งห่างออกไปแค่สองโต๊ะรู้สึกเวทนาคนที่ขาดทั้งพ่อและแม่แบบกะทันหัน ก่อนจะก้มลงส่งสายตาให้กำลังใจ แล้วเอ่ยชักชวนเบาๆ
“กลับบ้านกันเถอะลูก…ลุงมารับ”
คิริมาพยักหน้าอย่างเศร้าๆ แล้วลุกขึ้นด้วยท่าทางเนือยๆ ก่อนจะเดินตามหลังทนายความประจำตระกูลไป ไม่นานทั้งคู่ก็มานั่งข้างๆ กันในรถตู้
“หนูมีอะไรอยากจะเล่าให้ลุงฟังไหมลูก”
หลังจากเอ่ยบอกให้คนขับรถออกรถ ทนายวิชิตก็หันมาหาคนที่เอาแต่นั่งบีบมือตัวเองและก้มหน้าไม่พูดไม่จา ท่าทางแบบนี้ทำให้คนที่รับใช้ตระกูลรุ่งเรืองโรจนไพศาลมาอย่างยาวนานรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอออกมา
“ไม่มีค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไร…หนูโอเค” สาวน้อยปฏิเสธเสียงสะท้านพร้อมส่ายหน้าจนผมกระจาย ทว่ากลับไม่ยอมเงยขึ้นสบตากับอีกฝ่าย
“ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็พูดให้ลุงฟังได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว ถึงหนูจะไม่มีพ่อกับแม่แต่หนูก็ยังมีลุงอยู่นะลูก ถึงแม้หนูจะไม่ยอมไปอยู่ที่บ้านลุง แต่อย่างน้อยหากหนูมีเรื่องไม่สบายใจขอให้นึกถึงลุง หากอยากระบายอะไรก็ขอให้นึกถึงลุง ลุงสัญญาว่าจะเป็นผู้รับฟังที่ดี”
วาจาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและหวังดีทำให้คิริมาเงยหน้าขึ้น แล้วมองอีกฝ่ายเหมือนเด็กหลงทาง พอนายวิชิตวางมือลงบนศีรษะนุ่มสลวยเท่านั้นแหละความอดทนอดกลั้นก็พังทลายลงในชั่วพริบตา
“หนูผิดมากเหรอคะ ที่ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น” เธอเอ่ยเสียงเครือเจือสะอื้น หยาดน้ำใสๆ หยดแหมะลงมาจากหางตาคนที่ใครต่อใครต่างพากันตราหน้าว่าเย็นชาไร้ความรู้สึก
“หนูไม่ผิดหรอกลูก ไม่ผิดเลยสักนิด เพราะหนูไม่ได้เป็นสาเหตุของการตายของพ่อและแม่ พ่อกับแม่ของหนูเลือกจุดจบของชีวิตด้วยตัวของพวกเขาเอง” นายวิชิตเอ่ยปลอบประโลม โดยยกเอาความจริงขึ้นมาประกอบเป็นเหตุและผล ขณะลูบศีรษะน้อยของคนที่กำลังปล่อยโฮออกมาแบบสุดกลั้น
ที่สุดคิริมาก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่เธอนับถือประหนึ่งญาติ เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะเป็นทนายความประจำตระกูลแล้วยังเป็นเพื่อนรักของผู้เป็นบิดา จากนั้นเธอก็ร้องไห้ปานปิ่มจะขาดใจ โดยมีนายวิชิตลูบหลังปลอบประโลมเบาๆ จนเวลาผ่านไปนานพอสมควรเธอถึงได้ผละห่างจากอีกฝ่าย
“เอ่อ…ลุงทนายคะ หนูอยากย้ายโรงเรียนได้ไหมคะ” หลังจากกลั้นก้อนสะอื้น คิริมาก็ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มแดงก่ำ แล้วเอ่ยเสียงเครือ
“ลุงว่าทนเรียนที่นี่อีกเทอมดีไหม เพราะถ้าย้ายไปกลางเทอมแบบนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่” นายวิชิตเอ่ยเป็นเชิงให้อีกฝ่ายได้คิดไตร่ตรอง ใจจริงก็อยากจะให้คิริมาย้ายโรงเรียนตั้งแต่วันนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่การย้ายโรงเรียนแบบกะทันหันย่อมส่งผลกระทบต่อการเรียนไม่มากก็น้อย
“งั้นขึ้น ม.5 หนูจะย้ายไปกรุณาสตรีวิทยานะคะ” หลังจากนั่งนิ่งใช้สมองน้อยๆ ทว่าฉลาดเป็นกรดคิดทบทวนอย่างรอบคอบอยู่พักใหญ่ คิริมาก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับความคิดเห็นของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถึงโรงเรียนที่ตัวเองต้องการจะย้ายไปเรียนในปีการศึกษาหน้า
“ลุงว่าย้ายไปเซ็นต์มารีอาคอนแวนต์ดีกว่า ที่นั่นอาจารย์สายวิทย์มีแต่ขั้นเทพกันทั้งนั้น ครีมอยากเรียนวิศวอากาศยานไม่ใช่เหรอลูก”
“ค่ะ”
“งั้นที่นั่นล่ะเหมาะสุด”
“ค่ะ” ที่สุดคิริมาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
สาเหตุที่อยากย้ายโรงเรียนก็เพราะเธอทนเสียงซุบซิบนินทาไม่ไหว ใครจะว่าหนีปัญหา ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงก็ช่าง แต่จะเอาอะไรกับเด็กอายุสิบหกอย่างเธอ ที่ยังสามารถทนยืนหยัดใช้ชีวิตเพียงลำพังโดยไม่คิดสั้นตามพ่อกับแม่ไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว เธอก็แค่อยากไปอยู่ในที่ที่คิดว่าจะสบายใจขึ้น
ไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปนานแค่ไหนการตายของพ่อกับแม่ก็ยังคงเป็นบาดแผลที่หยั่งรากฝังลึกในใจ พ่อกับแม่ไปสบาย แล้วเธอล่ะ คิริมาก้มลงมองตัวเองอย่างเศร้าใจ ไม่เป็นไรหรอก เธอโตแล้ว อายุตั้งสิบหก เธออยู่คนเดียวได้ หลอกตัวเองให้เข้มแข็งแต่กลับน้ำตาทะลักออกมาอีกครา
นี่ไม่ใช่ชีวิตในแบบที่เธอฝันเอาไว้ ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย
วันหยุดเสาร์อาทิตย์คิริมาจะหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่กับพ่อทุกสัปดาห์ วันนี้สาวน้อยตื่นแต่เช้ามาทำอาหารที่พ่อกับแม่ชอบ แล้วมาทำบุญที่วัดเพียงลำพัง หลังก้าวลงจากศาลาร่างบางก็เดินไปปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาด ก่อนจะสาวเท้าไปยังเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ซึ่งตั้งอยู่ข้างกัน แค่เห็นรูปที่ติดอยู่สาวน้อยก็ยื่นมือสั่นเทาไปลูบไล้แผ่วเบา แล้วสะอื้นฮักน้ำตาไหลทะลัก ความคิดถึงและโหยหาอัดแน่นไปทั้งหัวใจ
“ทำไมพ่อกับแม่ต้องทิ้งครีมไปด้วยคะ…ครีมผิดอะไร” สาวน้อยตัดพ้อทั้งน้ำตา แล้วยกลำแขนเสลาขึ้นกอดตัวเองเอาไว้ด้วยความอ้างว้างสุดหัวใจ
“แล้วทำไมต้องทำร้ายกันด้วยคะ ทำไมถึงไม่รักกันเหมือนตอนที่ครีมเป็นเด็กๆ ทำไมพ่อต้องนอกใจแม่ไปมีคนอื่น” เธอรำพันอย่างเจ็บปวด แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้น
“ก็เพราะแม่ของเธอไม่ได้เรื่องเอาแต่บ้างานยังไงล่ะ พ่อถึงต้องหนีไปหาแม่ฉัน แม่ของเธอมันแย่ อยากตายก็ตายไปคนเดียวสิ ทำไมต้องลากพ่อฉันไปตายด้วย”
สิ้นน้ำคำร้ายๆ ทำลายหัวใจคนที่ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปก็ค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ คำว่า ‘พ่อ’ ของเด็กนั่นทำให้เธอแทบช็อก เพราะหยุดคิดเพียงนิดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือลูกของพ่ออีกคน อีกฝ่ายคือลูกของเมียน้อยของพ่อ และที่น่าเศร้าและเจ็บปวดหัวใจเหลือแสนคืออีกฝ่ายเป็นคนที่แย่งความรักของพ่อไปจากเธอ แม้แต่พินัยกรรมในส่วนของพ่อยังยกทรัพย์สินให้ลูกเมียน้อยกับเธอคนละครึ่ง แต่ถึงกระนั้นความรักที่คิริมามีต่อพ่อก็ไม่เคยจืดจาง
“ว่าไง…ทำไมแม่เธอถึงได้ร้ายกาจนัก มีสิทธิ์อะไรมาพรากพ่อไปจากฉัน”
เสียงแข็งกร้าวชวนหาเรื่องทำให้คิริมาได้สติ ก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายผลักอกแรงๆ จนเซไปข้างหลังเพราะไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นร่างบางก็สะดุ้งน้อยๆ เมื่อโดนกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ข่วนขา แต่ยังไม่ทันได้ก้มลงดูขาตัวเองที่รู้สึกแสบจี๊ดๆ อีกฝ่ายก็เดินเข้าหา แล้วตะโกนใส่หน้าด้วยท่าทางคั่งแค้น
“แม่เธอมีสิทธิ์อะไรมาพรากพ่อไปจากฉันกับแม่!”
