บทที่ 6 ความทรงจำสีหม่น (150%)
“เธอจะมาคาดคั้นเอาอะไรจากฉัน เธอเสียแค่พ่อ แต่ฉันเสียทั้งพ่อและแม่ ฉันไม่เหลือทั้งพ่อและแม่เธอได้ยินไหม ได้ยินไหมว่าฉันไม่เหลือใคร” คิริมาผลักอกอีกฝ่ายคืน แล้วสวนกลับอย่างเหลืออด เจียนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ไม่หรอกเธอจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้เห็นน้ำตา การแสดงความอ่อนแอไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา
“ทุกอย่างมันเป็นเพราะแม่ของเธอ ถ้าแม่ของเธอไม่บ้าสติแตกเพราะความหึงหวงแม่กับฉันก็คงไม่ต้องเสียพ่อไป” คนที่ถูกแม่ฝังหัวให้เกลียดเมียหลวงและลูกมาตั้งแต่เล็กจนโตยังคงไม่เลิกราวีง่ายๆ และการปรักปรำว่าทุกอย่างเป็นความผิดของแม่เธอแต่เพียงผู้เดียวก็ทำให้คิริมาโกรธจนตัวสั่น
“ถ้าเธอไม่รู้อะไรก็อย่าพูด และอย่าบังอาจมาใส่ร้ายแม่ฉัน!” คิริมากดเสียงต่ำตอบโต้ ตบท้ายด้วยการเอ่ยเป็นเชิงปกป้องแม่ของตนในท้ายประโยค
“ฉันจะใส่ร้ายจะทำไม แม่เธอมันชั่ว! แม่เธอมันเลว! ได้ยินไหม!”
แทนที่จะกริ่งเกรงพิริยากลับเอื้อมมือมากระชากไหล่ของคิริมา แล้วเขย่าแรงๆ พร้อมตะโกนใส่หน้าปาวๆ และกำลังจะทำร้ายคิริมาด้วยฤทธิ์ของโทสะหากว่าเสียงกระด้างของใครบางคนไม่ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
“หยุดนะ!”
“อย่ามายุ่ง!” พิริยาซึ่งอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดเต็มที่ไม่สนแม้กระทั่งจะหันไปมองผู้ที่ส่งเสียงมาห้ามปรามแต่อย่างใด เธอจ้องหน้าคิริมาอย่างชิงชัง แล้วคาดคั้นเสียงแข็งๆ
“ตอบมาว่าทำไมแม่เธอต้องฆ่าพ่อฉัน…ทำไม!”
“ฉันบอกให้หุบปากยังไงล่ะ! ยัยหมาบ้า!” คราวนี้คนที่บังเอิญได้ยินบทสนทนาชวนหดหู่มาตั้งแต่ต้นถึงกับตะคอกลั่น ก่อนจะสาวเท้าก้าวไปยังจุดที่สองสาวยืนอยู่
“เมศอย่ามายุ่ง” ครั้นเห็นว่าเป็นใครพิริยาก็เค้นเสียงแข็งๆ ใส่
“ฉันจะยุ่งโว้ย! และถ้าเธอยังไม่หยุดทำร้ายพี่สาวคนนี้ฉันชกเธอแน่” นอกจากจะไม่สนน้ำคำของคนที่ทำตัวไร้สติจนน่าโมโห เขายังลอยหน้าประกาศด้วยท่าทางขึงขัง
“ชก?”
“เออ! ถ้าเธอยังไม่หยุดระรานคนอื่นเหมือนหมาบ้าอยู่แบบนี้ ฉันจะชกให้หน้าแหก ดั้งหัก จมูกแหว่ง ปากเบี้ยว จนหมอศัลยกรรมทำหน้าใหม่ให้เธอไม่ได้…ไม่เชื่อก็ลองดู!”
เจ้าของน้ำเสียงกระด้างเจือดุดันเอ่ยข่มขู่อย่างฉะฉาน และท่าทางเอาเรื่องก็ทำให้พิริยาหันขวับไปจ้องหน้าหล่อๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อในวาจาที่อีกฝ่ายพ่นออกมา
“นี่เมศกล้าปกป้องคนอื่นต่อหน้าคู่หมั้นตัวเองอย่างนั้นเหรอ” พิริยาสวนกลับด้วยความคับข้องใจเหลือแสน การที่ผู้ชายที่ตนหลงรักเห็นลูกของพ่ออีกคนดีกว่าทำให้เธอแทบคลั่ง
คนฟังแค่นยิ้มกับน้ำคำที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย เอาจริงๆ พ่อกับแม่ของเขาไม่ได้รู้จักกับครอบครัวของพิริยาเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นตัวเธอ หรือแม่ของเธอ แต่อีกฝ่ายดันหน้าด้านมาทึกทักเรื่องคู่หมั้นบ้าบอ เพราะป้าของเขาสนิทสนมกับแม่ของพิริยา แถมยังเอ็นดูเธอมากจนถึงขั้นจะให้หมั้นหมายกับหลานชายอย่างเขา
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พ่อ แม่ และเขา ทำเป็นหูทวนลมเสมอมา เพราะเคยถูกมัดมือชกทั้งครอบครัวให้ไปกินข้าวกับแม่ของพิริยาครั้งหนึ่ง และพ่อกับแม่ของเขาก็ต่างลงความเห็นว่าแม่ของพิริยาไม่ธรรมดา เข้าทางป้าเขาแบบมีจุดประสงค์แอบแฝง ฉะนั้นแม่ของเขาจึงเอ่ยปฏิเสธไปตรงๆ ว่ายังไม่คิดจะให้ลูกชายหมั้นหมายกับใครทั้งสิ้น ทว่าหลังจากนั้นแทนที่จะหยุดป้าของเขากลับพยายามส่งเสริมให้พิริยาเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเขาจนน่ารำคาญ ผู้หญิงสมองกลวงชอบระรานคนอื่นไปทั่วแบบนั้นใครจะไปเอา แค่คุยด้วยยังไม่อยากคุยเลย
“หึ…พูดผิดพูดใหม่ได้นะพิริยา เธอมันก็เป็นได้แค่ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ เท่านั้นแหละ เพราะฉันไม่มีวันหมั้นกับผู้หญิงร้ายกาจสมองกลวงอย่างเธอ”
ปรเมศ จิรกุล หนุ่มป็อปมาดนิ่งสายซึนแต่ปากร้ายสวนกลับหน้าตาย ซึ่งการปฏิเสธอย่างสิ้นเยื่อขาดใยนั้นก็ทำให้คนฟังถึงกับเต้นเร่าๆ และกรีดร้องลั่น
“กรี๊ดดดดดด!”
“หุบปาก! อยู่ในวัดหัดสำรวมซะบ้าง!”
“เมศเข้าข้างมัน! เมศปกป้องมัน!”
“ก็เออสิวะ!”
“พิมมี่จะไปฟ้องคุณป้าศรีสุรางค์!”
“เชิญขี่ม้าสามศอกไปฟ้องเลยยัยขี้ฟ้อง” แทนที่จะกริ่งเกรงหนุ่มหน้านิ่งแต่แสนจะกวนประสาทก็ลอยหน้าเอ่ยท้าทาย แล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยแว่น!” พิริยาชี้หน้าคิริมาอย่างคั่งแค้น เอ่ยเสียงแข็งๆ แล้วก้าวฉับๆ จากไป ปรเมศถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปมองคนที่ยังยืนนิ่งเหมือนช็อก
“พี่สาวโอเคไหม”
หนุ่มหน้าใสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สาบานว่าโทนเสียงแบบนี้นอกจากมารดาผู้ให้กำเนิดแล้วปรเมศไม่เคยใช้มันกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่กับสาวแว่นตรงหน้าเขากลับอยากพูดเพราะๆ ด้วย อยากทำความรู้จัก มากกว่านั้นคือแค่เห็นแววตาเศร้าๆ เขาก็นึกอยากจะปลอบโยนและปกป้องอย่างน่าประหลาด อยากจะถามอีกฝ่ายใจแทบขาดว่าไปอยู่ด้วยกันไหม เธอตัวคนเดียวไม่มีพ่อแม่พี่น้อง ส่วนเขาก็เป็นลูกชายคนเดียวที่ใฝ่ฝันว่าอยากจะมีพี่สาวเหลือเกิน ถ้าได้พี่สาวแบบอีกฝ่ายเขาจะคอยดูแลและปกป้องอย่างดีที่สุด
“เอ่อ…ฉันโอเค ขอบใจนายมากนะ” คิริมาเอ่ยเสียงสะท้าน พยายามที่จะแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็งไม่เป็นไร แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลพรากออกมาเสียดื้อๆ ปกติเธอจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า แต่กับเด็กผู้ชายที่ถามไถ่ด้วยความอาทรจากที่สัมผัสได้กลับทำให้คิริมาไร้การควบคุม แววตาซึ่งฉายชัดถึงความเป็นห่วงเป็นใยคู่นั้นมันทำให้เธอรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจอย่างน่าประหลาด
“โอเคอะไร ถึงน้ำตาไหลแบบนี้หือ…” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงมาเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางทะนุถนอม ซึ่งการถูกเอาใจใส่เล็กๆ จากคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนั้นก็ทำให้คิริมาตัวแข็งทื่อ หัวใจที่แห้งแล้งเพราะปราศจากความสุขพลันอุ่นซ่านอย่างน่าอัศจรรย์
แล้วชั่วเสี้ยวนาทีคนไร้ญาติขาดมิตรอย่างแท้จริงเช่นคิริมาก็ถึงกับปล่อยโฮเสียงดังสนั่นอย่างสุดกลั้นเมื่ออีกฝ่ายดึงมือไปกุมไว้ แล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ แทนที่จะหยุดร้องไห้ ทำนบน้ำตาเจ้ากรรมกลับพังทลายลงมาราวกับเขื่อนแตก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอระเบิดอารมณ์ซึ่งอัดแน่นอยู่ในอกออกมาสุดขีด
