บทที่ 12 6 อารมณ์วูบไหว
“คะคลื่น....”
ฉันเรียกชื่อเขาอย่างกลั้นหายใจ คลื่นเอาแต่จ้องหน้าอกฉันนิ่งอยู่อย่างนั้นหลังเปิดแผลให้เขาดูจนฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกหรือเปล่า
“ทั้งหมดนี่มันคงจะอยู่บนตัวฉัน ถ้าเธอไม่เอาตัวเข้ามาป้อง”
หมอนั่นพูดอย่างเหม่อลอยเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง เขาเหลือบตามองฉันในคำสุดท้าย สายตาคมกริบที่ราวกับจะมองลึกเข้ามาถึงข้างในทำฉันร้อนวูบไปทั้งหน้า ก้มหลบดวงตาสีครามอย่างเหนียมอาย
การที่มีผู้ชายหน้าตาหล่อขนาดนี้ถึงลุคจะดูร้ายและเจ้าเล่ห์มากก็ตามแต่มาทำอ่อนโยนด้วยและคอยส่งสายตาหวานซึ้งมาให้ตลอดเวลา ฉันคงไม่สามารถทำใจให้เป็นปกติได้ คือฉันไม่ได้จะคิดเข้าข้างตัวเองหรืออยากสานสัมพันธ์อะไรกับเขานะ ก็แค่ตั้งรับไม่ทันเท่านั้น
“มองอะไรล่ะ ทำแผลสิ ฉันเย็นไปหมดแล้วนะ”
ฉันบอกเสียงตะกุกตะกัก แกล้งทำเป็นประท้วงเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความประหม่าของตัวเอง
สถานการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมมากเลยนะ ถ้าฉันไม่บาดเจ็บ ไม่มีทางที่จะทนนั่งนิ่งๆ แล้วเปิดอกให้ผู้ชายดูแบบนี้หรอก
“โทษที” คลื่นยิ้มจากใจจริง(หรือเปล่าไม่แน่ใจ) แล้วเริ่มเอาสำลีจุ่มแอลกอฮอล์มาซับเลือดที่เลอะไล่ตั้งแต่ตรงปากแผลวนรอบเข้ามาเรื่อยๆ ฉันสะท้านเฮือก มันแสบจี๊ดและก็ปวดปร่า
“เจ็บไหม?”
คลื่นเหลือบมองฉันเป็นระยะ คอยถามอย่างเอาใจใส่ เขานุ่มนวลมากจริงๆ นะ มือก็เบา จนฉันเผลอคิดว่าเรารู้จักกันมานานทั้งที่ความจริงไม่ใช่ วันนั้นถ้าคนที่เก็บร่างฉันไปเป็นคลื่นก็คงจะดีกว่าริกกี้
“เดี๋ยวใส่ยาแดงให้”
เขาบอก ฉันกะพริบตาอย่างรู้สึกตัว ก่อนพยักหน้า มองเขาหันไปสาละวนกับสำลีก้อนใหม่เงียบๆ คลื่นคีบสำลีที่กลายเป็นสีแดงเข้มมาแตะๆ ฉันสะดุ้งไหวเพราะปวดแสบ เขาชะงักมือแล้วเหลือบมองฉันอย่างดูอาการ เราสองคนสบตากันนิ่งสักพัก พอฉันไม่แย้งเขาก็ก้มหน้าลงไปทำต่อโดยไม่มีใครพูดอะไรสักคำ จนกระทั่ง...
“เสร็จแล้ว”
คลื่นปิดแผลให้ฉัน ผ้าก๊อชอันใหม่ถูกแปะปิดอย่างเรียบร้อยและเนียนกริบ
“นายดูช่ำชองจังเลย”
ฉันอดไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา คลื่นกำลังเก็บกล่องปฐมพยาบาลหันกลับมามองแล้วยิ้มอ่อน แววตาเขาอมเศร้าแปลกๆ หรือฉันคิดไปเองไม่รู้
“ฉันเคยทำบ่อยน่ะ”
“นายเป็นหมอ?”
“อ่าห๊ะ”
“จริงอะ!”
“แค่นักศึกษาแพทย์ยังไม่จบ” เขาตอบแบบถ่อมตัว ก่อนขอตัวออกไปข้างนอกกลับเข้ามาอีกทีพร้อมกับเม็ดยาในถาดรองแก้ว
“ยาไร” ฉันถาม มองยาสามสี่เม็ดที่เขายื่นให้อย่างสงสัย เขาไปเอายามากมายแบบนี้มาจากไหน อย่างกับเตรียมมาแหนะแล้วคนปกติที่ไหนเขาพกยาติดตัวกันล่ะ? แต่พอคิดว่าหมอนี่เป็นนักศึกษาแพทย์ก็คงไม่แปลกอะไรที่จะพกยาติดตัว
“แก้ปวดกับแก้อักเสบ”
ฉันรับยามาจากเขาอย่างไม่คิดอะไร กรอกยาเข้าปากรวดเดียวตามด้วยน้ำอีกแก้วเต็มๆ ยิ้มให้คลื่นอย่างเกรงใจ
“ขอบคุณนะ นายดีกับฉันจริงๆ”
“หึ....”
คลื่นยิ้ม ฉันรู้สึกว่ารอยยิ้มเขาดูน่ากลัวประหลาดแต่ก็แค่แวบสั้นๆ เท่านั้น บางทีฉันคงคิดมากไปเอง เขาใจดีกับฉันขนาดนี้ก็น่าจะพิสูจน์ความจริงใจได้แล้วไม่ใช่เหรอ
“ถ้าอยากอาบน้ำก็ตามสบายนะ หรือมีอะไรก็เรียกฉันได้ กะว่าจะนั่งกินลมชมวิวสักหน่อยก่อนนอน”
“อื้ม”
คลื่นออกไปแล้ว ฉันรวบเสื้อขึ้นปิดมิดชิด ก่อนมองไปรอบห้องอย่างรู้สึกหวิวๆ คือจะว่าไงดี ถึงเขาจะทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยแต่มันไม่ใกล้เคียงกับคำว่าอุ่นใจเลยสักนิด
ร้อน.... ทำไม? ทั้งที่แอร์ก็เปิด ฉันหันขวับไปมองทางเครื่องปรับอากาศที่ยังคงส่งเสียงฮือเบาๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย หลังจากคลื่นออกไปฉันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ไม่คิดจะอาบน้ำเพราะก่อนหน้านี้ก็อาบมาแล้วอีกอย่างยังปวดแผลอยู่ด้วย แต่นอนอยู่ดีๆ ก็เริ่มใจสั่นแปลกๆ ร่างกายข้างในก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนต้องถลกผ้าห่มออกแต่ทั้งที่รู้สึกร้อนมากมายขนาดนี้กลับไม่มีเหงื่อออก นี่ฉันเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย
“คลื่น....”
คนแรกที่ฉันนึกถึงคือเขา เดินสั่นเทาออกมาข้างนอก หายใจหอบลึกสะท้านทรวง ร่างกายมันกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข คลื่นนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ที่ระเบียง หันมามองฉันทันทีที่รู้สึกถึงการมา แววตาคมกริบฉายแวววูบไหว
“คะนิ้ง”
ร่างสูงลุกจากเก้าอี้ เดินฉับๆ เข้ามาจับแขนฉันเอาไว้ทั้งสองข้าง ฉันสะท้านเฮือก เพียงแค่โดนสัมผัสร่างทั้งร่างก็อ่อนยวบแทบจะลงไปกองกับพื้น ความรู้สึกอ่อนไหวแล่นปราดไปทั่วทั้งตัว นี่ฉันเป็นอะไร?
“คลื่น”
ฉันเงยหน้าสบสายตาคมปลาบสะท้านอารมณ์ของเขาอย่างสับสน ลมหายใจร้อนกรุ่นจนรู้สึกได้ นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ลากไร้จากต้นแขนขึ้นมาโอบแก้มฉันเอาไว้แบบนุ่มนวล ไม่รู้ทำไม หัวใจฉันมันเต้นแรงขึ้นทุกขณะที่ฝ่ามือร้อนทาบทับกับเนื้อผิว
ฉันจับมือเขาที่นาบอยู่บนแก้มอย่างไม่รู้ตัว อึก...นี่ฉันทำอะไรลงไป
“เป็นอะไรหืมคะนิ้ง แก้มเธอแดงๆ นะ”
คลื่นกดนิ้วหัวแม่มือลงบนริมฝีปากล่างฉันแล้วกดคลึงเบาๆ ฉันสะท้านไหวไปทั้งใจ ในอกมันร้อนรุ่มพิกล อะไรกัน! ฉันตกใจผงะถอยออกห่างร่างสูง แต่ดันเซเพราะเคลื่อนไหวเร็วเกินไปลืมว่าตัวเองบาดเจ็บอยู่ ฉันซวนเซคล้ายจะล้มไม่ถึงครึ่งวินาทีวงแขนหนาก็สอดเข้ามาโอบเอวฉันอย่างทันท่วงที
“ระวังสิ เธอเจ็บอยู่นะ”
ฉันจ้องหน้าเขานิ่ง ใจสั่นตุบๆ ใบหน้าร้อนผ่าว ความร้อนในร่างกายพุ่งสูงเรื่อยๆ ไม่ไหวนี่มันอันตรายเกินไป ฉันดันอกคลื่นออกห่างเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองผิดปกติ แต่คลื่นกลับไม่ยอมปล่อยฉันไป เขาโอบประคองฉันเอาไว้แน่น รั้งเอวฉันเข้าไปใกล้ จนร่างกายท่อนล่างเบียดชิดกัน
อึดอัด... ร้อน... ฉันมองสบสายตาคมเฉียบตรงหน้าด้วยแววตาสั่นไหว ใจหนึ่งก็อยากให้ปล่อยแต่อีกใจก็กำลังเรียกร้องอยากสัมผัสมากขึ้นอีก
“พูดสิอยากให้ทำอะไร”
คลื่นพูดเหมือนรู้ว่าฉันรู้สึกยังไงอยู่ ดวงตาคมกริบมองลึกเข้ามาในตาฉันอย่างเร่าร้อน ฉันไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร จับต้นแขนเขาเอาไว้แน่นอย่างเป็นที่ยึดเหนี่ยวทั้งที่คลื่นก็โอบเอวฉันเอาไว้แท้ๆ แต่เหมือนจะยืนไม่อยู่ เข่ามันอ่อนยวบอย่างไม่สามารถต้านทาน ฉันทรุดตัวลงท่ามกลางอ้อมกอดของคลื่น ได้ยินเขาเรียกชื่อฉันอย่างตกใจขณะโน้มตัวลงตามร่างของฉัน
ไม่รู้บังเอิญหรือตั้งใจ ทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสกับพื้นไม้แข็งๆ คลื่นก็คร่อมทับอยู่ข้างบนตัวฉันแล้ว หัวใจฉันสั่นระรัว ดันเขาออกอย่างตื่นตระหนก
“คะคลื่น....”
“เธอน่ารักมากเลยรู้ไหม”
หมอนั่นลากหลังมือผ่านแก้มฉันลงไปถึงซอกคอ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้ามาในตาฉันอย่างลุ่มหลง คล้ายประกายไฟที่จุดฉนวนความร้อนในตัวฉันให้ลุกโชนมากกว่าเดิม ฝ่ามืออีกข้างล้วงเข้ามาใต้เสื้อ ลูบผ่านท้องขึ้นมาจนถึงขอบบราเซีย ฉันสะดุ้งเฮือกทันทีที่รู้สึกตัว
“นายจะทำอะไรน่ะคลื่น!”
ฉันหายใจติดขัด ถึงจะรู้ว่าไม่ควรแต่ร่างกายกลับไม่มีแรงผลักเขาออก ได้แต่นอนร้อนรุ่มอยู่ใต้ร่างสูงเหมือนโดนอะไรสักอย่างตรึงไว้แน่น ฉันสะดุ้งไหวเมื่อริมฝีปากอ่อนนุ่มจูบลงตรงต้นคอ
“อ๊ะ... คลื่น... ยะอย่า”
ฉันร้องห้ามแต่เสียงที่เปล่งออกมากลับฟังดูสั่นไหวประหลาด พยายามเบี่ยงตัวหนีแต่ก็ทำไม่ได้มาก ร่างกายมันอ่อนระทวยไปหมด ขยับขาไปมาอย่างหวามไหวทุกครั้งที่โดนสัมผัสผิวกาย
ไม่รู้ว่ากระดุมเสื้อถูกปลดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันนอนหอบหายใจพะงาบ สมองเริ่มเบลอ นึกอะไรไม่ออกอีกแล้วนอกจากความต้องการทางกายที่ปะทุขึ้นแบบสุดขีด
ฉันสอดมือเข้าไปปลดหัวเข็มขัดกางเกงคลื่น... ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนี้ เหมือนจะรู้สึกตัวและไม่รู้สึกตัวในคราวเดียวกัน สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดร้องเตือนว่าสิ่งที่กำลังเกิดนั้นผิด แต่ร่างกายฉันกลับไม่ยอมฟัง มันเคลื่อนไหวไปเองราวกับเครื่องจักรที่เร่งเครื่องสุดกำลังไม่มีอะไรสามารถมาขัดขวางได้จนกว่าเชื้อเพลิงจะมอดดับไปเอง
“หึ ทนไม่ไหวแล้วเหรอ”
คลื่นเลื่อนมือลงมาช่วยฉันที่พยายามปลดเข็มขัดให้เขาอย่างเก้ๆ กังๆ ทำไม่สำเร็จสักที เขาดันมือฉันออกแล้วดึงสายเข็มขัดออกจากกางเกงตัวเองรวดเดียวเสร็จ ปลดหัวกางเกงและรูดซิปไปด้วย
“ยกสะโพกขึ้นหน่อย”
ฉันทำตามที่เขาสั่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ออกจะรีบร้อนซะด้วยซ้ำ ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่คลื่นมองฉันราวกับจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัวมันช่างเย้ายวนและเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก เขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนร่างกายจะหลอมละลายจริงๆ ปลายนิ้วของคลื่นแตะที่ขอบกางเกงฉันแล้วดึงลง ฉันรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ สัญชาตญาณผู้หญิงที่โดนปลุกเร้าแล่นปราดไปทั่วร่างทำให้รู้สึกว่าเรื่องที่น่าตื่นเต้นเร้าใจหลังจากนี้กำลังจะมาในไม่ช้าและฉันยินยอมให้มันเกิดขึ้น
“เฮ้ย!”
ยังไม่ทันได้ลิ้มลองความรู้สึกหวามไหวที่ร่างกายกระเสือกกระสนเพรียกหา ร่างของคลื่นก็โดนฉุดขึ้นไปอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงกระแทกหนักๆ หนึ่งที
ผลัวะ!
“อะไรวะ.... ริกกี้!?”
ฉันชะโงกหน้าขึ้นมองอย่างมึนงง ร่างกายเบาวูบทันทีที่ไม่มีคลื่นคร่อมทับ ทันเห็นคลื่นเซถลาออกไปด้านข้างแล้วหันกลับมาตะโกนใส่ใครสักคนอย่างฉุนกึกแต่จู่ๆ เขาก็เงียบนิ่งด้วยความตกใจเอ่ยชื่อใครบางคนที่ช่วยฉุดสติหลุดลอยของฉันให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง
“เออกูเอง!”
ริกกี้ตะคอกเสียงห้วนกร้าวใส่คลื่นที่ยังไม่หายมึนเพราะหมัดหนักๆ ก่อนหน้า เขาตวัดสายตาเย็นเฉียบมามองฉันไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉันตัวแข็งทื่อ กลั้นหายใจเฮือก กลัวเกรงดวงตาคมดุคู่นั้นจับใจ นี่ฉันจะโดนฆ่าไหม
ได้ยินเขาสบถคำหยาบก่อนเดินมากระชากร่างฉันขึ้นทีเดียวแทบจะปลิวติดมือ หน้าฉันผวาเข้าไปกระแทกกับแผ่นอกแข็งๆ ของริกกี้พลั่ก บาดแผลใต้ผ้าก๊อชร้าวสะเทือนเจ็บจนน้ำตาคลอ ฉันเรียกชื่อเขาอย่างตื่นตกใจแต่ริกกี้ไม่สน หมอนั่นจะลากฉันออกมาแต่ทันใดนั้นเสียงดุดันของคลื่นก็ดังขึ้น
“หยุด!”
“.....”
ริกกี้หยุดจริง หันขวับไปมองหน้าคลื่นเงียบๆ
“คิดว่ากูจะยอมให้มึงเดินออกไปง่ายๆ เหรอวะ”
“มึงจะเอาให้ได้ใช่ไหม”
ริกกี้ปล่อยมือฉันแล้วก้าวฉับๆ เข้าไปหาคลื่นอย่างดุดัน เหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้าทะมึนตึงเต็มรัก
“คลื่น!”
ฉันยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ คลื่นยังไม่ทันตั้งตัวติดหน้าหันไปตามแรงอัด พอหันกลับมาด้วยสายตาเลือดเย็น ริกกี้ก็สวนเท้าถีบเข้าที่ท้องไปอีก คลื่นถลาล้มลงไปติดพื้นทันที
“ไอ้เวรริกกี้!”
คลื่นกัดฟันกรอด มือกุมท้อง เลือดกบปาก จ้องมองริกกี้ด้วยสายตาเคียดแค้น จุกจนลุกไม่ขึ้น
“กูกับมึงมันคนละชั้น จำไว้! ”
ริกกี้ชี้หน้าคลื่นอย่างหยามหยันก่อนหันมากระชากข้อมือฉันให้เดินตามออกมา
“อึก... โอ๊ย! เจ็บริกกี้”
ริกกี้ขบกรามแน่นสีหน้าเรียบตึง สายตาเคลือบแฝงไว้ด้วยโทสะ
เขาเงียบจนน่าขนลุก ระหว่างทางมาที่รถริกกี้กระชากลากถูฉันอย่างไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้นต่อให้ฉันดึงดันหรือร่ำร้องขนาดไหนก็ไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนได้สักนิด
ตุบ!
เขาโยนร่างฉันเข้ามาในรถ แรงอัดกระแทกทำเจ็บร้าวไปทั้งตัว ริกกี้จ้องฉันด้วยสายตาน่ากลัวปราดหนึ่งก่อนเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับแล้วขับกระชากรถออกไปอย่างเกรี้ยวกราด
ฉันนั่งตัวหดอยู่บนเบาะ ความหวาดกลัวที่มีค่อยๆ หลอมละลายไปกับระยะทางที่มืดมิดและเงียบสงัด บรรยากาศภายในรถเย็นบาดผิวกอปรกับใบหน้าแข็งกระด้างอึมครึมของริกกี้เมื่อเทียบกับความร้อนรุ่มที่เดือดพล่านภายในตัวฉันแล้วดูจิ๊บจ๊อยไปเลย
ก่อนหน้านี้อาการกระสับกระส่ายมันคงหายไปเพราะตกใจ แต่ตอนนี้มันกลับมาอีกแล้ว พอเริ่มชินกับบรรยากาศความรู้สึกที่เหมือนถูกกดทับเอาไว้ก่อนหน้าก็ปะทุขึ้นมาแบบไม่หยุดยั้ง
ฉันมองใบหน้าแข็งตึงด้านข้างที่เหมือนรูปปั้นสลักอันงดงามของริกกี้ด้วยสายตากระวนกระวาย จู่ๆ ก็นึกอยากจับขึ้นมา เอื้อมมือออกไปลูบแก้มสากๆ ของเขาอย่างลืมตัว
“เฮ้....” ริกกี้ไหวตัวเล็กน้อย ตวัดสายตาคมกริบมาทางฉันทันที ไม่รู้ทำไม.... แทนที่จะกลัวแต่ฉันกลับเห็นว่าเขาดูเย้ายวนน่าฟัดอย่างบอกไม่ถูก
“ริกกี้นายหล่อจัง”
ฉันขยับตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ปีนข้ามคอลโซลกลางไปแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“เฮ้ยเดี๋ยวจะทำอะไร ขับรถอยู่!”
สีหน้าตื่นตระหนกของริกกี้แบบนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็น
รถส่ายไปวูบหนึ่งเดาว่าเขาคงตั้งหลักไม่ทัน ก็ปกติฉันเป็นแบบนี้ซะที่ไหนล่ะ เอาแต่จะคิดหนีไปจากเขาแต่ว่าตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่าถูกดึงดูดเข้าไปแทน แรงกระชากของรถเมื่อครู่ทำฉันเสียหลักหน้าหล่นไปกองอยู่บนตักของริกกี้ ฉันเงยหน้าขึ้นมาอย่างเหยเกเพราะเจ็บแปลบที่แผลแต่ก็ไม่สู้แรงวาบหวิวที่ลุกโชนไปทั่วร่าง ช้อนมือเข้าไปใต้เสื้อลูบคลำหน้าท้องแข็งแกร่งของริกกี้ หมอนั่นสะท้านไหวเบาๆ เหลือบตาลงมองฉันนัยน์ตาขวางจัด
“หยุดทำอะไรบ้าๆ เดี๋ยวนี้”
“หยุดให้โง่สิ”
“หา? เฮ้!”
ฉันส่งยิ้มทะเล้นให้ริกกี้ก่อนเลิกเสื้อเขาขึ้น ปลดหัวเข็มขัด ดึงกระดุมกางเกงยีนหลวมๆ ของเขาออกแล้วใช้ฟันกัดรูดซิปกางเกงให้
เสียงซิปรูดลงเร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ริกกี้ส่งเสียงร้องตกใจในลำคอ ปราดรถเข้าจอดข้างทางทันที
เอี๊ยด!
เสียงเบรกดังลอดเข้ามาถึงในรถ บอกให้รู้ว่าแรงบดของล้อกับถนนรุนแรงขนาดไหน ร่างของเราทั้งคู่กระตุกไปตามแรงฉุดของรถเบาๆ แต่ฉันไม่สนใจอะไรนอกจากขอบกางเกงในของริกกี้ กำลังจะรั้งมันลงมาด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำก็โดนทึ้งหัวออกไปซะก่อน
“หยุด!”
“เจ็บนะ”
ฉันโวยวาย ส่งสายตาขัดใจไปให้ เส้นผมที่โดนดึงทึ้งเจ็บไปหมด
“คิดว่ากำลังเล่นอยู่กับใครห๊ะ”
“ฉันไม่ได้เล่นโอ๊ย...เจ็บ”
หมอนั่นจิกหัวฉันแรงขึ้น รั้งเส้นผมตึงแน่นจนหน้าฉันหงายขึ้นขนานกับเพดานรถ ดวงตาคมกริบของริกกี้จ้องลึกเข้ามาในตาฉันราวกับจะแผดเผาทั้งเป็น ฉันสะท้านไหว หอบหายใจฮืดฮาด ความปรารถนาที่ล้นปรี่ทำให้ฉันหน้ามืดตามัวแยกแยะอะไรไม่ออกอีกแล้ว ต่อให้ริกกี้จะน่ากลัวและอันตรายขนาดไหนฉันก็ยังเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างจากเขา
“ระริกกี้ ขอร้อง.... ฉันร้อนไปหมดแล้ว ช่วยทำอะไรสักอย่างกับฉันที ได้โปรด...”
ดวงตาคมกริบจับจ้องฉันนิ่งก่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้ายังคงเรียบสนิท
“เธออย่าบอกนะว่า.... ชิ! น่ารำคาญเป็นบ้า”
ริกกี้พึมพำอะไรสักอย่าง เขาผลักฉันกลับมาที่เบาะด้วยท่าทางหงุดหงิด ฉันมองร่างสูงที่ผละออกไปอย่างเสียดาย หลังจากนั้นริกกี้ก็ผลักประตูลงจากรถเดินอ้อมมาดึงประตูฝั่งที่ฉันนั่งออก
“ลงมา”
“ริกกี้... อ๊ะ!”
ฉันมองหน้าเขาอย่างงุนงง พอชักช้าไม่ทันใจเขาก็ฉุดร่างฉันลงไปยังไม่ทันจะได้โวยวายหมอนั่นก็ผลักฉันกลับเข้ามาในรถเหมือนเดิมแต่เป็นท้ายรถ หลังฉันกระแทกกับเบาะ ร่างสูงตามเข้ามากดร่างฉันเอาไว้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ กับอายความร้อนจากริกกี้ทำหัวใจฉันสั่นระรัว ดึงตัวเขาลงมากอดซุกกับร่างกายที่ร้อนผะผ่าวของตัวเองอย่างวาบไหว
ความจริงฉันเอาตัวไปถูไถกับเขามากกว่า นี่ถ้าหากว่าพลิกตัวขึ้นไปนั่งคร่อมเขาได้ฉันทำไปนานแล้วแต่สภาพร่างกายที่ไม่เต็มร้อยเลยทำแบบนั้นไม่ได้
หมับ!
ระหว่างที่ฉันกำลังมัวเมากับไฟอารมณ์ที่ยากจะดับลงจู่ๆ ข้อมือทั้งสองก็ถูกรวบมัดด้วยเนกไทเส้นหนึ่งที่ไม่รู้โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันเหลือบมองท่อนมือที่โดนยึดติดกันอย่างหายใจติดขัด
“ระริกกี้....”
แววตาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง ทำไม... เกิดอะไรขึ้น เขามัดมือฉันทำไม! ฉันพยายามบิดข้อมือที่โดนมัดแน่นอย่างอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง ริกกี้ไม่ตอบ เขาเลื่อนลงไปมัดข้อเท้าฉันด้วย
“นะนี่หยุดนะ! นายทำบ้าอะไร”
หรือว่า.... เขาชอบแบบนี้ ฉันชะงักเมื่อความจิตเข้าแทรกแซงอารมณ์ มองริกกี้ด้วยแววตาที่สับสน
“ฉันไม่กินของเหลือใคร นอนสงบสติอารมณ์อยู่ท้ายรถนิ่งๆ ไปซะ อย่ามาร่านใส่ฉัน!”
เหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ ฉันมองสบสายตาคมกริบของริกกี้อย่างหายใจลำบาก นี่เขากำลังด่าฉันอยู่ใช่ไหม? เหมือนฉันเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่ไม่มีค่าในสายตาเขาสักนิด ...นี่ฉันเป็นอะไรไป ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพที่น่ากระอักกระอ่วนแบบนี้ได้
ฉันผิดตรงไหน ฉันก็แค่อยากโดนสัมผัส อยากลูบไร้เขา อยากทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ความรู้สึกกระสับกระส่ายตอนนี้มันสงบลง ฉันมองหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ของริกกี้นัยน์ตาสั่นไหว ภายใต้ความสะเทือนใจซุกซ่อนไปด้วยความโหยหาในอารมณ์แต่ริกกี้... เขาหันหลังให้ฉันแล้วเปิดประตูลงจากรถ อ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับแล้วบึ่งรถออกไปอย่างเงียบเชียบ
มีเพียงเสียงหัวใจฉันที่เต้นแรงเหมือนจะปะทุออกมาจากอก ร่างกายร้อนรุ่มราวกับอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง นอนดิ้นพล่านอยู่เบาะหลังอย่างทรมานหายใจรัวเร็ว เหงื่อเริ่มซึมขึ้นเต็มใบหน้า ฉันเหลือบมองริกกี้ผ่านหลังเบาะด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ริมฝีปากเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาออกมาสั่นกระเส่า
“ริกกี้....”
