บทที่ 9 4 คิดว่าจะหนีพ้น? (2)

เส้นทางออกสู่ต่างจังหวัดที่รถวิ่งผ่านด้วยความเร็วสูงสะกิดให้ฉันหันออกไปมองด้านนอกอย่างเพิ่งรู้ตัว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำไปอยู่ที่ปลายยอดไม้ แดดอ่อนแสง เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ายามเย็นกำลังจะมาถึง ฉันหันกลับมามองหน้าริกกี้อย่างกระวนกระวาย

“นี่นายจะไปไหน”

“เพชรบูรณ์”

“ห๊ะ!?”

“คาดเข็มขัด ถ้าไม่อยากอายุสั้น”

“เอ๊ะ กรี๊ด! ขับรถบ้าอะไรของนายเนี่ย อ๊ารถข้างหน้าๆ ระวัง เฮ้! จะชนแล้วววว”

พอคำสั่งบอกให้รัดเข็มขัดจบลงหมอนั่นก็กลายร่างเป็นตีนผีทันที จากรถที่เร็วอยู่แล้วเร็วขึ้นไปอีกแถมยังปาดไปปาดมา พุ่งผ่านไฟกะพริบตรงสี่แยกไฟแดงไปอย่างเฉียดฉิว ฉันร้องอย่างหัวใจจะวาย มือยึดขอบเบาะแน่น รีบรัดเข็มขัดนิรภัยทันที

ได้ยินเสียงริกกี้ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างรำคาญ แต่หมอนั่นต้องใช้สมาธิในการควบคุมรถจนไม่มีเวลามาโมโหฉัน

ไม่รู้ใช้เวลาเท่าไหร่ แม้แต่ปั๊มก็ยังไม่จอด ริกกี้ยิงยาวรวดเดียวมาถึงที่หมาย รู้สึกตัวอีกทีรถก็เบรกดังเอี๊ยดอยู่ข้างถนนบนเขาหัวโล้นลูกหนึ่งซึ่งฉันไม่รู้จัก แต่ได้ยินว่าเป็นที่เพชรบูรณ์ก็น่าจะเป็นภูเขาสักลูกในจังหวัดนี้ล่ะ

ว่าแต่เขามาทำอะไรที่นี่

ฉันมองออกไปด้านนอกรถอย่างมึนงง มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย? งานชุมนุมอะไรหรือเปล่านะ....

ริกกี้ปลดสายเข็มขัดลงจากรถโดยไม่ดับเครื่อง ฉันหันกลับมามองตามร่างสูงที่เดินออกไป ยังไม่ทันหายตกใจด้วยซ้ำฉันปลดเข็มขัดนิรภัยออก ผลักประตูเปิดอย่างไม่สามารถใจเย็นนั่งอยู่ในรถคนเดียวได้

ปาร์ตี้ก็ไม่น่าใช่ ที่นี่ไม่มีเสียงเพลงเอิกเกริก รถที่ถูกปรับแต่งหลายคันจอดเรียงกันตามขอบถนนและจุดชมวิวจนเรียกได้ว่าแทบจะแน่นเอี๊ยด เหมือนพวกเขามาดูอะไรสักอย่างมากกว่า ฝนดาวตกหรือเปล่านะ? ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เมฆครึ้มอย่างไม่ค่อยเชื่อถือความคิดนี้ของตัวเองเท่าไหร่ ตอนนั้นเองเสียงพูดก็ดังขึ้น

“ริกกี้ นั่นใครวะ”

ฉันหันไปมองทางเสียนั่นทันทีเพราะรู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับตัวเอง

ผู้ชายตัวสูง หน้าเรียวคมได้รูป ดูหวานและแข็งกร้าวในคราวเดียวกันกำลังส่งสายตาสงสัยอันเฉียบคมมายังฉัน

“.....” ฉันมองสบตาเขานิ่งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของริกกี้เพราะเขาเป็นคนพาฉันมาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบหากมีใครถาม

ริกกี้ไม่ตอบ เขามองหน้าฉันนิ่งครู่หนึ่งก่อนหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนอีกคนข้างๆ ปล่อยให้เจ้าของคำถามนั่นเดินตรงเข้ามาหาฉัน

“ไง”

ฉันมองหน้าเขานิ่ง แอบประหม่านิดหน่อย เพราะหน้าตาเขาดูหล่อๆ หวานๆ ไม่ดุดันเหมือนริกกี้ ออกแนวคุณชายมีตระกูลรุนชาติไม่น่ามาเกลือกกลั้วกับพวกดิบเถื่อนอย่างริกกี้ได้

“ฉันเรซ เธอชื่ออะไร”

“คะนิ้ง”

“นึกว่าเป็นใบ้ซะอีก”

เรซยิ้มเจ้าเล่ห์ ตอนนี้ฉันเปลี่ยนความคิดแล้ว ภาพลักษณ์คุณชายสูงศักดิ์มันใช้ได้เฉพาะเวลาที่เขาทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดไม่จาเท่านั้น แต่พูดออกมานี่ปีศาจชัดๆ

“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า” เรซหัวเราะท่าทีมึนตึงของฉัน เขาไล่สายตาสำรวจเรือนร่างฉันอย่างเปิดเผย จนฉันรู้สึกไม่ต่างจากโดนลวนลาม

“มะมองอะไร”

“เปล่า.... แค่สงสัยทำไมริกกี้มันพาเธอมาด้วย”

เราทั้งคู่เงียบใส่กัน พอฉันไม่พูดอะไรเขาก็เลิกสนใจหันกลับไปหาพรรคพวกตัวเองปล่อยให้ฉันยืนเคว้งอยู่คนเดียว แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ กวาดตามองสำรวจไปรอบๆ อย่างสงสัย กำลังจะเดินออกไปดูรอบๆ เผื่อจะเจอทางหนีทีไล่ เสียงยะเยือกด้านหลังก็ดังขึ้น

“จะไปไหน”

“ริกกี้....” ฉันกัดฟันแน่นเมื่อหันกลับมาเจอหมอนั่น นึกถึงจูบที่ดุเดือดในตอนนั้นแล้วก็โกรธขึ้นมาทันที เบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างขุ่นมัวกระแทกเสียงตอบห้วนๆ

“เดินเล่น!”

“อยากโดนรถชนตายหรือไง ไปขึ้นรถ!”

เขาตวาดกลับมา ฉันอ้าปากจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ออกเพราะสายตาคมเฉียบของเขาที่จ้องมองมาไล่ต้อนฉันให้ไม่อาจขัดขืนได้ ชิ! ฉันทำหน้าไม่สบอารมณ์อารมณ์ใส่เขา เดินกระทืบเท้าหนักๆ กลับมาที่รถ ริกกี้ตามมาเงียบๆ เดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ มองเส้นทางด้านนอกด้วยสายตาที่คล้ายกำลังคำนวณอะไรสักอย่าง ไม่ได้มีเรื่องฉันอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ

ตอนนั้นก็มีคนเดินมาเคาะกระจก ริกกี้เลื่อนกระจกลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อคมของผู้ชายที่ทำผมทรงสกินเฮดแถมกลัดสีน้ำเงินยื่นหน้าเข้ามาพูดอะไรสักอย่างกับริกกี้

“แน่ใจนะโว้ยว่าไม่ต้องปรับจูนอะไรใหม่?”

“อืม ฉันวอร์มเครื่องมาแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร”

“โค้งที่นี่ยาวและลึกเป็นพิเศษ ทางตรงมีไม่มาก ระวังเรื่องการใช้เบรกด้วย”

“อืม มีไรอีกไหม”

“ไม่....” ผู้ชายคนนั้นเหลือบมองฉันแวบหนึ่งคำพูดก็ค้างไปด้วย ริกกี้มองตามพอรู้ว่าเพื่อนตัวเองกำลังมองฉันก็เลื่อนกระจกปิดแบบไม่กลัวว่ามันจะหนีบหน้าเพื่อนสักนิด หมอนั่นชอบทำอะไรโผงผางแบบนี้ล่ะ ไม่สนใจว่าใครจะเจ็บจากการกระทำของตัวเอง

“เฮ้ยริกกี้ ใจเย็นดิวะ” ผู้ชายหัวสกินเฮดกดกระจกเอาไว้ก่อนที่มันจะหนีบหน้าตัวเอง “มองนิดมองหน่อยก็ไม่ได้ ได้ยินเรซพูดแต่ไม่คิดว่าแกจะพาใครมาจริงๆ ว่าแต่เปลี่ยนมาชอบแนวนี้แล้วเหรอวะ”

“ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด มีอะไรอีกไหม”

“เรื่องรถน่ะไม่มีแต่เรื่องตุ๊กตาหน้ารถน่ะมี”

“......”

“จะดีเหรอที่ให้นั่งไปด้วย”

“......”

“เออ! อยากทำอะไรก็ตามใจเถอะว่ะ ยังไงนี่ก็เป็นรอบซ้อม ไปลองเส้นทางก่อน แต่ห้ามจอดรถทำอะไรข้างทางนะโว้ย งานคืองาน”

“นั่นมันมึงแฮคไม่ใช่กู”

“เออกูมันคนมีความสามารถ เอาไปทำงานไปด้วยเร้าใจดีว่ะ ไปเว้ย”

หมอนั่นชื่อแฮค.... เขากระตุกยิ้มยียวนมองฉันก่อนหันไปยกสองนิ้วพร้อมกับยักคิ้วกวนๆ ให้ริกกี้ก่อนผละออกไป

ฉันหน้าร้อนอย่างไม่มีเหตุผลแค่ฟังที่แฮคพูดก็กระดากหูแล้ว พวกเขาทำเหมือนกับว่าการมีเซ็กเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่สำหรับฉันมันคือเรื่องใหญ่ ยิ่งเมื่อเร็วๆ นี้โดนปล้นจูบไปด้วยฉันยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย จ้องมองใบหน้าด้านข้างของริกกี้อย่างใจคอไม่ดี

หวังว่าคงไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับฉันอีกหรอกนะ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป