บทที่ 14 ปลอมตัว
“เป็นอิสระขึ้นมาบ้างแล้วสินะ”
เสียงทุ้มเรียกสติร่างบางชะงัก ละสายตาจากเนื้อหาบนหนังสือมายังเขา
ผู้ชายร่างสูงนามว่าคาร์ส คนที่หล่อนรู้จักแค่ผิวเผิน แต่อยู่ๆกลายเป็นลูกน้องเขาคนที่เอาแต่ข่มเหงน้ำใจกันเสียดื้อๆ เดินเชื่องช้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า บริเวณสวนหย่อมขนาดกว้าง สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
มดตะนอยดึงที่คั่นกระดาษลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กมากั้นกลางหน้าที่อ่านค้างคาไว้ ก่อนจะปิดหนังสือลง และวางไว้บนตักตัวเอง หล่อนไม่ได้ยิ้ม แต่การช้อนตาเงยหน้าขึ้น หยุดสิ่งที่ทำอยู่เพื่อสนทนากับคนมาใหม่ ถือว่าให้เกียรติกันระดับหนึ่ง
“เขาก็คงเอือมระอาเวลาฉันพยศละมั้ง เลยยื่นข้อเสนอให้ ถ้าหนูอยู่อย่างมีความสุข วันนึงที่เขาสะสางบางอย่างเสร็จอาจจะปล่อยฉัน แบบ..อาจจะอะนะ”
เธอยักไหล่ขึ้น
“คิดว่านายจะปล่อยง่ายๆอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ทราบส นั่นเป็นเจ้านายของนายไม่ใช่เรอะ น่าจะรู้ดี”
ชายหนุ่มเงียบไปอึดใจ ขณะก้มลงมองหน้า แววตาละห้อยแฝงความทุกข์ ไม่สามารถปกปิดความรู้สึกแอบซ่อนไว้ได้ คนตัวเล็กตรงหน้าฉลาดเขารู้ แต่ความทระนงและใจร้อนในบางครั้ง อาจสร้างเรื่องไม่ดีกับหล่อน
“นายมีสัจจะ”
“แล้วนายยังจะถามฉัน?”
“ผมหมายถึง..อาจมีบางกรณีไม่อยากปล่อย ในวันนึง”
คำพูดที่คลุมเครือ ทำสาวเจ้าขมวดคิ้ว เธอคงงงกับการพูดไม่กระจ่างใจเหล่านั้น และเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ
“ฉันไม่เข้าใจ นายหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่”
คาร์สไม่ได้ตอบ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ทอดตรงไปยังใบหน้าคู่สนทนาแบบตาไม่กะพริบ ขณะนั้นความคิดโลดแล่นตีกันไปหมด ลูกน้องอย่างเขาเองก็เหมือนจะงุนงง สับสนในการกระทำของคนเป็นนาย ไม่มีเหตุผลที่นายจะต้องทุ่มเทช่วยเหลือหล่อน หากผลลัพธ์ที่ได้มาในอนาคตเป็นผลเสียมากกว่าผลดี คัสเตเว่นพูดถูก สงครามจะต้องมีความคิดอื่นที่นอกเหนือกว่าที่ซ่อนอยู่ภายในเป็นแน่
“เอาเป็นว่า ผมหวังดี อยากรักษาสถานะนี้ให้อยู่นานๆ”
“พูดเหมือนฉันกำลังจะสร้างปัญหา”
แต่ใครจะรู้ คนตรงหน้าจะฉลาดและรู้ทันคนกว่าที่คิด ครั้งนี้จึงกลายเป็นเขาที่ขมวดคิ้วยุ่งแทน
“ผมรู้ คุณคงไม่รนหาเรื่องให้ตัวเองต้องเดือดร้อน แต่อย่าลืม อย่างที่บอก ลูกน้องมีหน้าที่รับคำสั่ง ถ้านายสั่งให้ผมฆ่าคุณ ผมก็ต้องทำ”
มดตะนอยอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงจะได้ยินคำนี้ เธอชะงักมองคนตรงหน้า ก่อนจะกระแอมกระไอเบาๆ แล้วหลบสายตา
“โหนี่ นายกับบ่าวไม่ต่างกันเลยแฮะ ชอบข่มขู่” เธอบ่น พลางช้อนตาขึ้นมาอีกรอบ “แล้วเนี่ย ฉันเอาหนังสือมานั่งอ่านเงียบๆ คงไม่ได้สร้างปัญหาให้ใครใช่ไหม”
หญิงสาวประชดทำหน้ายู่ คิ้วโค่งสวยเลิกขึ้นสูง คาร์สที่ยืนเคร่งขรึมในคราวแรกเกือบจะหลุดขำ โชคดีที่เขาดึงสติทัน ดึงกำปั้นมาปิดปากกระแอมกระไอแบบเธอ
“ก็ไม่นะครับ ผมแค่เดินมาทักทายคุณเฉยๆ”
“ทักซะจน..อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลยอะนะ”
“ครับ?”
“ฉันหมายถึง นายมาทำให้ฉันเสียสมาธิ”
สาวเจ้าบอกตรงไปตรงมา ใช้สายตามองค้อนเขา ร่างสูงที่จ้องเขม็งอยู่ก่อนระลอกนี้ถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ ทว่าภาพนั้นหญิงสาวกลับเห็นไม่ชัด เพราะเขาเบือนหน้าไปทางอื่น แถมใช้กำปั้นปิดปากไว้อีก
“โอเค ถ้าอย่างนั้น..ผมจะไม่รบกวน ไว้เจอกัน”
จากนั้นเขาก็ไปอย่างสงบ แบบเดินหายไปเลยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พยักหน้าหรือโบกมือลา
ช่วงดึกในวันเดียวกัน มดตะนอยที่กำลังจะเข้านอน อยู่ๆต้องลุกพรวดกะทันหันเพราะเสียงเคาะจากภายนอก ประตูบานไม้ที่ไม่ค่อยจะเหงาแม้แต่วันเดียว ที่คนมาเยือนคือคนซ้ำๆ แต่ที่ไม่ซ้ำคือช่วงเวลาที่ดึกสงัดแบบนี้
“คะ?”
เธอเปิดประตู ต้อนรับผู้มาเยือนแต่ชวนให้ต้องอึ้ง หญิงสาวอ้าปากค้าง คาดไม่ถึงจะเป็นเขา
“คุณ..”
ผู้ใหญ่มีช่วงอายุเป็นรุ่นน้องพ่อเธอไม่กี่ปี ทว่าไม่นานก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อคนตรงหน้าโยนบางอย่างมาให้เธอ แบบไม่บอกกล่าวกันก่อน โชคดีที่เธอรับทัน
“อะไรคะ?”
ความตื่นตระหนกทำให้เธอหลุดถาม มองถุงกระดาษนั้นด้วยความสงสัย พลางช้อนตา
“เสื้อผ้า ไปเปลี่ยนซะ แล้วลงมาข้างล่าง”
ในขณะคนตรงข้ามก็บอกเสียงห้วนเช่นเดียวกัน
“ดึกป่านนี้ จะไปไหนคะ”
และไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่เลือกที่จะหมุนตัวเดินจากไปแทน ปล่อยมดตะนอยอยู่กับถุงปริศนาที่ถูกโยนมาให้ใบนั้น เธอคลี่ออกมาดูอย่างช้าๆ ก่อนจะยืนชะงักงัน และทบทวนสิ่งที่เห็นในใจ
อุปกรณ์การปลอมตัว?
เธอมองวิกสีบลอนด์อย่างทึ่งๆ หลังจากนั้นจึงจะทำตามเขาแบบเลี่ยงไม่ได้
และต่อมาการแปลงโฉมของเธอก็ทำให้เขาตกตลึง ขณะย่างเอื่อยลงมาจากบันได ด้วยสีหน้าเหยเกส่วนเขายืนรออยู่กลางห้องโถง ที่รอบบริเวณมีลูกน้องเต็มไปหมด
เกิดอะไรขึ้น?
สีหน้าแปลกใจของมดตะนอยไม่ได้ทำให้เขาชะงักงันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเท่ากับร่างกายของเธอ รูปแบบการแต่งกายที่บ่งบอกให้รู้ว่ามาถูกทางแล้ว สาวเจ้าเหมาะสมกับมันมาก การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นอีกคน และอีกบุคลิกหนึ่ง
“ทำไมถึง..”
หญิงสาวกวาดสายตามอง หลังจากก้าวผ่านบันไดขั้นสุดท้ายยืนอยู่ตรงหน้าเขา ทว่ากลับไม่ได้คำตอบ คนอายุเยอะกว่าเหมือนจะหงุดหงิดด้วยซ้ำที่เห็นเธอชักช้า ปล่อยให้ทุกคนต้องมารอเธอคนเดียว
สงครามหมุนตัวเดิน
“เราจะไปไหนกันคะ?!”
เธอหยุดเขาด้วยคำถาม ที่อุตส่าห์โพล่งออกไปด้วยความกล้า แต่กลับได้มาซึ่งคำตอบเพียงสั้น
“ไกล”
และคำตอบนั้นทำหล่อนงุนงงไม่น้อย แต่กลับเลือกเดินตามต้อยๆ แถมบ่อยครั้งแทบจะชนแผ่นหลังเขา เนื่องจากไม่รู้วิถีจังหวะการเดิน
กระนั้นความนิ่งของเขาก็ยังคงอยู่ ต่อให้เธอลื่นล้มต่อหน้า เขาคงทำได้แค่กุมขมับรึไม่ก็ส่ายหัวเอือมระอา แต่ใช่ว่าจะช่วยกัน
คนเข้าไม่ถึงก็ยังเข้าไม่ถึงอยู่วันยันค่ำ ซึ่งคนอย่างมดตะนอย ก็ไม่ได้จะสนใจ ต่างกันเธอชอบมันเสียอีก การอยู่ใกล้ชิดเขาเปรียบเสมือนการรนหาที่ เธออึดอัดแทบจะสำลอกทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น
เขาไม่ต่างกับเสือดุร้ายที่พร้อมขย้ำเธอได้ทุกเมื่อ
สงครามปรายตามอง หลังหมอบศีรษะเข้าไปนั่งในรถ ปล่อยเธอที่เดินตามหลังและไม่ทันเขา ยืนกล้าๆกลัวๆ
หล่อนเห็นตัวเองอยู่ในกระจก และไม่นานกระจกนั้นก็เลื่อนลง
“จะรอให้ใครมาตัดริบบิ้นหรือ?”
คนกดปุ่มเลิกคิ้วสูง แค่เสี้ยวหน้าด้านข้างที่เผยให้เห็นก็สามารถทำใจเธอกระตุกได้ เธอยิ้มเจื่อน เตรียมยื่นมือไปเปิดประตู
แต่แล้ว..
“ไปฝั่งโน้น จะนั่งตักฉันรึไง”
อ้าว!
