บทที่ 4 ก่อกบฎ / 2
ในคืนนั้นเจินฮุ่ยหมิงและฉินจื่อเหลียนได้หลบหนีออกไปจากเมืองต้าหยางได้สำเร็จ ด้วยความช่วยเหลือของหยางซ่งไห่ แต่สถานการณ์บ้านเมืองถือว่ายังน่าเป็นห่วง ฉินฉื่อเหยาประกาศจับมือกับตงซาน และต้องยอมเป็นเมืองรองเพื่อแลกกับการได้ขึ้นครองบัลลังก์
ขุนนางทั้งหมด รวมทั้งคนในตระกูลเจินถูกควบคุมโดยทหาร บ้านของพวกเขาถูกรื้อค้นและทรัพย์สินจำนวนหนึ่งถูกยึด เพราะยังหาตัวเจินฮุ่ยหมิงและอดีตฮ่องเต้ไม่พบ พวกทหารเชื่อว่าคนทั้งสองยังอยู่ในต้าหยาง เพราะกองกำลังทหารค่อนข้างหนาแน่น ไม่มีทางเลยที่พวกนั้นจะหลบหนีออกไปได้
พวกทหารพาคุณหนูลี่หลัวไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้องค์ใหม่ ฉินฉื่อเหยาชายผู้โหดเหี้ยม เขามีจิตใจเย็นชาและไร้ซึ่งความยุติธรรม สายตารังเกียจมองหญิงสาวอย่างเหยียดหยาม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทและความโกรธแค้น
“ครอบครัวของเจ้าทรยศจักรพรรดิ” เขาพูด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
"เจ้าจะต้องรับโทษแทนเจินฮุ่ยหมิง น้องชายของเจ้า”ฉินฉื่อเหยาทั่งอยู่บนบัลลังก์ทองชี้นิ้วและตัดสินเจินลี่หลัว แม้ในสถาการณ์เช่นนี้ แต่นางก็ยังเก็บซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
“แต่หม่อมฉันมิได้กระทำอันใดผิด ตอนเกิดเรื่องหม่อมฉันก็อยู่ในพิธี” หญิงสาวตัดสินใจพูดขึ้น และมันไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันเสียงของนางทำให้ฉินฉื่อเหยายิ่งทวีความโกรธมากขึ้นไปอีก
“เจ้าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต่อรองอะไรได้ ข้าไม่ใช่อดีตฮ่องเต้ที่จะตามใจสตรีชั้นต่ำเยี่ยงเจ้า” คำดูถูกเหยียดหยามของฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรต่อเจินลี่หลัวนัก นางรู้มาตลอดว่าเขาและมารดาเกลียดแค้นชิงชังครอบครัวของนางมากเพียงใด
“ที่ข้าให้ทหารพาเจ้ามาที่นี่ ก็เพื่อจะแจ้งให้ทราบว่าจ้าต้องเตรียมตัวเป็นสนมของข้า หลังจากพิธีอภิเษกระหว่างข้ากับองค์หญิงสามเสร็จสิ้น” เจินลี่หลัวรับรู้ดีว่าในครั้งนี้ตัวนางนั้นไม่สามารถที่จะปฏิเสธคำสั่งของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ ต่อให้จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
การแต่งตั้งเจินลี่หลัวเป้นสนมคือแผนที่จะล่อให้พี่ชายออกมาจากที่ซ่อน ไม่ว่าเขาจะยังอยู่ในต้าหยางหรือหลบหนีออกไปได้แล้วก็ตาม ฉินฉื่อเหยาคิดว่ากาจะเป็นฮ่องเต้ได้อย่างเต็มตัวก็ควรกำจัดฮ่องเต้องค์เก่าไปให้ได้เสียก่อน และเขาก็ยังทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ
เมื่อพูดคุยธุระเสร็จเจินลี่หลัวถูกพาไปที่ห้องซึ่งจะเป็นห้องที่นางจะต้องถูกคุมขัง ห้องนั้นอยู่ภายในตำหนักของฉินฉื่อเหยา เจินลี่หลัวไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย บ่าวรับใช้คนสนิทของนางถูกยึดไปเป็นทาสหลวงทั้งหมด ครอบครัวของน้าชายก็ถูกขังไม่เว้นแม้แต่หลานๆ ที่ยังอายุน้อย เจินลี่หลัวตกใจและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก นางรู้ว่าการเป็นสนมของฮ่องเต้ไม่ใช่แค่การแต่งงานเพื่อความสุขสบาย แต่มันเป็นแผนที่เขาจะใช้ล่อเจินฮุ่ยหมิงให้มาช่วยครอบครัว นางได้แต่หวังว่าน้องชายจะไม่หลงกลของฉินฉื่อเหยาง่ายๆ และเชื่อว่าสุดท้ายเขาจะช่วยทุกคนพร้อมทั้งบ้านเมืองให้กลับมาสงบได้อีกครั้ง
ที่หัวเมืองแค้วนเจียงซานเรือสินค้าของหยางซ่งไห่ล่องมาถึงท่าปลายทาง ใช้เวลานานหลายวันแต่โชคดีที่กระแสน้ำค่อนข้างแรง ทำให้มาถึงเร็วกว่าปกติ เจินฮุ่ยหมิงได้รับการรักษาบาดแผลจนหายดี ส่วนอดีตฮ่องเต้ฉินจื่อเหลียนในตอนนี้ก็ต้องปรับตัวกับการเป็นสามัญชน
“เราจะเดินทางกันต่อไปที่ค่ายหน้าด่านเจียงซาน เถ้าแก่หยางสั่งให้ข้าจัดหาม้าให้กับท่านทั้งสอง” ลูกเรือคนหนึ่งพดขึ้น เขายื่นห่อผ้าให้กับเจินฮุ่ยหมิงข้างในมีอาหารและเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเถ้าแก่หยางได้สั่งคนของเขาให้จัดหาเอาไว้ให้คนทั้งสองเพื่อใช้ในการเดินทาง
“เถ้าแก่หยางสั่งไว้ว่าหากพวกท่านไม่รับ ข้าจะไม่ได้กลับไปกับเรือ” ขณะที่เจินฮุ่ยหมิงกำลังคลี่ห่อผ้าออกดู ชายวัยกลางคนก็พูดขึ้น ชายหนุ่มไม่อาจปฏิเสธความหวังดีจากหยางซ่งไห่ได้ อีกทั้งของพวกนี้ก็จำเป็นต่อการเดินทาง
“ฝากคำขอบคุณไปถึงเถ้าแก่หยางด้วย หากข้ามีโอกาสได้กลับไปแผ่นดินต้าหยางอีกครั้ง จะตอบแทนพระคุณครั้งนี้ให้เหมาะสม” ฉินจื่อเหลียนกล่าว ชายทั้งสามพากันออกเดินทางจากท่าเรือมุ่งหน้าสู่ค่ายหน้าด่านของเมืองสุนซานแคว้นเจียงซาน ซึ่งเป็นแคว้นที่ผูกพันธมิตรกับต้าหยาง
เจินฮุ่ยหมิงหวังจะพึ่งบารมีของฮ่องเต้เจียงซาน ขอให้ฉินจื่อเหลียนได้ลี้ภัยอยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าเขาจะจัดการเรื่องที่ต้าหยางได้สำเร็จ ทั้งสองแคว้นมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันมาโดยตลอด เขาจึงได้แต่หวังว่าที่เจียงซานจะต้อนรับเขาทั้งสองคน
จากท่าเรือถึงค่ายหน้าด่านถือว่าไม่ไกลนัก พวกเขาใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงก็ถึง เจินฮุ่ยหมิงลงจากม้าแล้วขอให้คนของหยางซ่งไห่ช่วยอยู่เฝ้าฮ่องเต้ไว้ก่อน เข้าจะอาสาเป้นคนเข้าไปเจรจากับทหารด้วยตัวเอง เพราะยังไม่รู้ว่าทางต้าหยางส่งฎีกาอะไรมาแล้วหรือยัง หากเกิดอะไรขึ้นอีก 2 คนจะได้ไหวตัวได้ทัน
“ข้ามาขอพบนายกอง”
“ท่านเป็นใคร” ทหารยามเอ่ยถามพลางยกดาบขึ้นในท่าพร้อมรบ เจินฮุ่ยหมิงยกมือขึ้นเหนือหัวแสดงความบริสุทธิ์
“ข้ามีนามว่าเจินฮุ่ยหมิงอดีตแม่ทัพหลวงแคว้นต้าหยาง” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครทหารยามก็ลดอาวุธลงทันที เขาเชิญคนทั้ง 3 ให้เข้าพบกับนายกองประจำค่าย เจินฮุ่ยหมิงและฉินจื่อเหลยนได้เล่าทุกอย่างให้กับนายกองฟัง และผู้รับฟังก็เข้าใจเขารับปากว่าจะให้ที่ลี้ภัยกับพวกเขา แต่จะต้องอยู่ที่ไปก่อน จนกว่าทางการเจียงซานจะอนุญาตให้พาเข้าเมืองหลวง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน มีผลกระทบที่รุนแรงต่อความมั่นคงของทั้งสองแคว้น แม้ว่าฮ่องเต้คนใหม่จะได้รองบัลลังก์อย่างไม่ถูกธรรมเนียมประเพณีก็ตาม
“ข้าจะหาทางกลับไปช่วยท่านน้าและท่านพี่ลี่หลัว ขอพระองค์ลี้ภัยอยู่ที่นี่รอข้าไปก่อนได้หรือไม่” เจินฮุ่ยหมิงพูดขึ้นขณะที่กำลังนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้
“อาฮุ่ยแผลบนตัวเจ้ายังไม่หายดีเลย จะไปคนเดียวได้อย่างไร” ฉินจื่อเหลียนพูดขึ้น เขาเองก็ไม่ได้ร้อนใจน้อยไปกว่าอีกฝ่ายเลย เขารู้ว่าน้องชายของตัวเองนั้น จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อตามล่าตัวของเขาให้จนได้ และความต้องการสูงสุกของฉินฉื่อเหยาก็คือ ฆ่าเขาทิ้ง เพื่อที่จะได้เป็นฮ่องเต้อย่างสมบูรณ์แบบตามธรรมเนียมประเพณี
“ข้าเป็นทหาร หน้าที่ดูแลบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของข้า”
“แล้วหน้าที่ดูแลบ้านเมืองไม่ใช่หน้าที่ของฮ่องเต้หรอกหรือ” ฉินจื่อเหลียนถามกลับและมันก็ทำให้แม่ทัพหนุ่มเงียบไป เขารู้ว่ามันก็เป็นหน้าที่ของฮ่องเต้เช่นกัน แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายขนาดนั้น การไปครั้งนี้จะคว้าน้ำเหลวกลับมาหรือไม่เขาเองก็ตอบไม่ได้
“แต่ว่า...”
“เจ้าคงคิดเหมือนกับคนอื่นๆ ใช่หรือไม่ ว่าข้าเป็นฮ่องเต้ที่ไม่ได้เรื่อง การทหารก็ไม่รู้ การต่อสู้ก็ไม่เอา การบ้านการเมืองก็ไม่เด็ดขาด วาดแต่ภาพ แต่งกวีไปวันๆ” ไม่ทันที่เจินฮุ่ยหมิงจะได้พูดอะไร ฉินจื่อเหลียนก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น ข้ารู้ว่าท่านมีฝีมือการสู้รบ มีความรู้ทางการทหาร ส่วนเรื่องการบ้านการเมืองใครๆ ก็รู้ว่าทำไมท่านถึงไม่ยุ่งเกี่ยว”
