บทที่ 5 ความคิดถึง และความห่วงหา
ในห้องที่มืดสนิท ภายในตำหนักหลัง ภายในวังหลัง สถานที่กักขังตัวเจินลี่หลัว ซึ่งถูกแยกออกมาจากครอบครัวของนาง ที่ถูกนำตัวไปขังไว้ในคุกใต้ดิน หญิงสาวได้แต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใจพะวงคิดถึงแต่น้องชาย ที่ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“ควรจะพักผ่อนได้แล้วนะเจินลี่หลัว” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่แสงจากโคมตะเกียงในห้องจะสว่าง คุณหนูใหญ่ตระกูลเจิน หันไปตามเสียงนั้น ม่านตาของนางปรับตามความสว่างของตะเกียงอย่างกะทันหัน ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางก็คือสาวใช้สูงอายุ ใบหน้าของสาวใช้ผู้นั้นเต็มไปด้วยความกังวลขณะมองดูเจินลี่หลัว
“ข้านอนไม่หลับ” เจินหลี่หลัวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า นางรับใช้ผู้นั้น เข้าใจดีว่าทำไม แต่หน้าที่ของนางคือดูแลเจินลี่หลัว
“ข้ามิใช่นางรับใช้ของเจ้า หน้าที่ของข้าคือรับคำสั่งจากองค์ฮ่องเต้ และที่ข้าเข้ามาในตำหนักนี้ ก็เพราะตรวจดูว่าเจ้านอนหรือยัง” เจินลี่หลัวเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะสื่อ ที่นี่ไม่มีนางรับใช้คนสนิทที่เคยติดตามดูแลนาง ทุกคนล้วนแต่เป็นคนของฮ่องเต้องค์ใหม่ทั้งสิ้น
“ข้าสัญญาว่าพรุ่งนี้จะตื่นให้เช้า จะไม่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนเป็นแน่”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ร้องขออะไรทั้งนั้น โปรดจำใส่ใจไว้เสียเถิด ว่าสถานะของเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับนักโทษ แม้ว่าจะไม่ได้ถูกเอาไปขังในคุกใต้ดินกับพวกตระกูลเจิน” คุณหนูใหญ่ตระกูลเจินฝืนยิ้มก่อนจะพยักหน้า แม้ว่าภาระของความกังวลของนางจะยังคงอยู่
แต่ก็เข้าใจแล้วว่านางรับใช้ผู้นี้พูดถูก นางจำเป็นต้องนอนเมื่อถูกสั่งให้นอน และแม้ว่าความคิดที่เรื่องครอบครัวของตน ยังวนเวียนอยู่ในความคิดภายใต้ความมความมืดมิดของตำหนักแห่งนี้ ทนางก็ไม่มีสิทธิ์จะนั่งหรือยืนตามอำเภอใจ
ร่างบางเอนกายลงนอนบนฟูก ความรู้สึกเหมือนนอนลงบนปลายแหลมๆ ของเข็มจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ทิ่มแทงลงบนเนื้อตัว นางรับใช้ยืนดูอยู่สักครู่ก่อนจะดับตะเกียงแล้วเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้เจินลี่หลัวได้นอนอยู่เพียงลำพัง หญิงสาวยังคงลืมตามองเพดานที่มืดมิด ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามาปกคลุมความคิดของนาง ในความเงียบงันของห้องที่มืดมิด เจินลี่หลัวปล่อยให้ตัวเองยอมจำนนต่อน้ำตาที่ไม่อาจจะเก็บกลั้นเอาไว้อีกต่อไปได้
ความโศกเศร้าและความกลัวปะปนอยู่ในใจของนาง อารมณ์แสนปั่นป่วนกำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายในหัวของคุณหนูลี่หลัวผู้แข็งแกร่ง แต่ท่ามกลางความมืดมิด ความหวังอันริบหรี่ก็ค่อยๆ ลดแสงลงราวกับจะดับอยู่ร่ำไร
“ท่านน้ากับหลานๆ จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ อาฮุ่ยเจ้าเองก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร...” เสียงหวานบ่นพึมพำปนกับเสียงสะอื้น อีกคนที่นางแอบคิดถึงด้วยความเป็นห่วง แม้ไม่ได้เอ่ยนามของเขาออกมา คือฉินจื่อเหลียน เขาคือบุคคลที่น่าเป็นห่วงกว่าใครทั้งสิ้น ฉินฉื่อเหยาไม่มีทางหยุดตามล่าเขาแน่ ต่อให้เจินฮุ่ยหมิงพาฉินจื่อเหลียนหลบหนีไปได้
ใต้ชายคาตำหนักรับรองที่หัวเมืองเขตชายแดน ชายหนุ่มในชุดสามัญชนก็กำลังนั่งเหม่อมองดวงดาวบนฟากฟ้า และจันทรามืดมิดในหัวใจคิดถึงใบหน้างามของสตรีนามว่าเจินลี่หลัว ไม่รู้ป่านนี้นางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“พรุ่งนี้ทหารจะพาพวกเราไปหลบภัย ในเขตที่ห่างไกลจากชายแดน เมื่อไปถึงที่นั่นเราค่อยวางแผนกันอีกที ว่าจะเอาอย่างไรต่อ” เจินฮุ่ยหมิงที่เพิ่งจะหารือกับนายพลของกองทัพแคว้นพันธมิตรเสร็จ เดินมารายงานให้ฉินจื่อเหลียนได้ทราบถึงข้อสรุป
“ข้าไม่ไป เจ้าไม่คิดเป็นห่วงพี่สาวกับครอบครัวของเจ้าบ้างหรืออย่างไร เจ้าก็รู้เต็มอกว่าฉินฉื่อเหยาคิดแค้นต่อครอบครัวเจินเพียงใด เจ้ายังจะนิ่งดูดายทิ้งพี่สาวไว้ที่นั่นได้อีกหรือ” ฉินจื่อเหลียนตะคอกใส่คนตรงหน้าด้วยความโกรธจัด รู้ทั้งรู้ว่าเจินลี่หลัวกำลังตกอยู่ในอันตราย เหตุใดคนเป็นน้องชายอย่างเจินฮุ่ยหมิง ถึงยังไม่คิดหาทางกลับไปช่วยนางอีก
“ฮ่องเต้ข้า...”
“ข้ามิใช่ฮ่องเต้แล้ว ตอนนี้ข้าคือฉินจื่อเหลียน สามัญชนเช่นเดียวกับเจ้า ได้โปรดเรียกข้าว่าเหลียนเกอ” เขาออกคำสั่ง เจินฮุ่ยหมิงมองหน้าคนพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“แต่ว่า...”
“หากยังเคารพกันอยู่ ก็จงทำตามที่ข้าขอเถิด” เจินฮุ่ยหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่มีทางเลือก อะไรทำให้ฉินจื่อเหลียนสบายใจได้ เขาก็ยินดีจะทำให้ทุกอย่าง
“เหตุใดข้าจะไม่คิดห่วงท่านพี่ลี่หลัว ชีวิตของอาฮุ่ยผู้นี้ มีเพียงนางที่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ท่านน้ากับท่านน้าสะใภ้ก็เป็นผู้มีพระคุณ ไหนจะหลานๆ ที่น่ารัก ทุกคนล้วนสำคัญกับข้าทั้งสิ้น” เจินฮุ่ยหมิงพูดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เขาก็อยากจะย้อนกลับไปรับทุกคนให้หนีมาด้วยกัน แต่หน้าที่ของเขาคือรับใช้องค์ฮ่องเต้ด้วยชีวิต
“เพราะข้าใช่หรือไม่” ฉินจื่อเหลียนถามขึ้น เขารู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด หากแข็งข้อกับมารดาเสียตั้งแต่แรก และจัดการกองกำลังทหารให้แข็งแกร่งกว่านี้เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิด อีกอย่างเจินฮุ่ยหมิงก็เคยพูดเรื่องนี้กับเขาแล้วแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะความขี้ขลาดและกลัวอำนาจของมารดา ฉินฉื่อเหยาก็คงก่อกบฏครั้งนี้ไม่สำเร็จ
“หามิได้เจ้พ่ะย่ะค่ะ...”
“เช่นนั้นเจ้าก็จงไปยกเลิกแผนการอพยพเสีย แล้วขอกองกำลังทหาร กับม้ามาแทน ข้าจะบุกไปชิงตัวลี่หลัวให้หนีไปกับพวกเรา” ฉินจื่อเหลี่ยนยื่นคำขาด
“แต่ว่า...”
“ถ้าหากเจ้าไม่ไป ก็ไปขอม้ากับอาวุธมาให้ข้า ข้าจะไปคนเดียว” เขายังคงมั่นคงในความคิดของตัวเอง เจินฮุ่ยหมิงมิอาจปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้
ถึงฉินจื่อเหลียนจะไม่พูดแบบนี้ เขาก็วางแผนเอาไว้แล้วว่า หลังไปส่งฉินจื่อเหลียนถึงที่พักแล้ว จะรีบขอกองกำลังทหารสักจำนวนหนึ่ง ย้อนกลับไปชิงตัวคนในครอบครัวตัวเองหลบหนีออกมา
“เหลียนเกอ ท่านพี่ลี่หลัวและคนตระกูลเจินเป็นครอบครัวของข้า ข้าจะกลับไปพาพวกเขาหลบหนีออกมาเอง ขอให้ท่านพักอยู่ที่นี่เพื่อรอฟังข่าวดีเถิด”
“เป็นเพราะเจ้าไม่เชื่อมั่นใจตัวข้าใช่หรือไม่”
“หาได้เป็นเช่นนั้น ข้าไม่อยากพาท่านไปเสี่ยง ฉินฉื่อเหยาต้องการจับตัวท่านมากกว่าใครทั้งหมด มันไม่มีทางทำร้ายท่านพี่ลี่หลัว เพราะรู้ว่านางเป็นเหยื่อล่อพวกเราทั้งสองคน แต่คนที่ฉินฉื่อเหยาต้องการที่สุดคือท่าน” แม่ทัพหนุ่มพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นที่สุด โดยหวังว่าคนตรงหน้าจะเข้าใจ
“อย่างน้อยหากข้าพลาดท่าถูกจับ ท่านก็จะยังเป็นทัพสำรอง ที่จะเข้าไปช่วยข้ากับท่านพี่ลี่หลัวได้”
“ข้าเชื่อมั่นใจฝีมือของเจ้า พรุ่งนี้พวกเราจะย้อนกลับไปช่วยพี่สาวของเจ้าด้วยกัน ไม่มีข้ออ้างอะไรทั้งนั้น” พูดจบฉินจื่อเหยาก็เดินหนีไปที่นอนของตนเองทันที ทิ้งให้เจินฮุ่ยหมิงยืนถอนหายใจอย่างเหลืออดเพียงลำพัง
