บทที่ 6 ขึ้นเขา

หลังจากที่เตรียมของเสร็จแล้วทั้ง 4 คนก็พร้อมใจกันเดินขึ้นเขาไปทันที จื้อโหยวนั้นแม้ในใจจะแอบบ่นก่นด่าพระเจ้าอยู่ไม่น้อยที่ให้นางตายไปแล้วก็ไม่ให้ตายไปเลยหรือเกิดใหม่ทั้งทีแต่ไม่ได้อยู่ในร่างของเด็กทารกแต่ให้มาอยู่ในร่างคนที่บังเอิญมีชื่อแซ่เดียวกับตัวเอง ยังดีที่ไม่ลบความสามารถและความทรงจำก่อนตายของนาง

“ข้าขอโทษเจ้านะภรรยา ที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”

“หาใช่ความผิดของท่านเจ้าค่ะ ถือเสียว่าเรามีชะตาต้องกัน ข้าเชื่อว่าในวันข้างหน้าพวกเราจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเจ้าค่ะ”

ทั้งสี่คนเดินมาจนถึงป่าไผ่ อวิ๋นเซียวแยกกับทั้งสามคนตรงนี้ เขาเพียงกำชับว่าให้นางและน้อง ๆ ดูแลตัวเองให้ดีและอย่าเข้าไปในป่าลึกอาจจะพบเข้ากับสัตว์ป่าอันตรายได้

ซึ่งทั้งสามคนก็รับปาก แต่เว่ยจื้อโหยวนั้นแม้ในใจนางรับปากแต่ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ทำตามก็เป็นได้ หากว่านางยังไม่เจออะไรที่สามารถนำมากินเป็นอาหารได้จำเป็นจะต้องเดินเข้าป่าลึกไปอีกหน่อย อย่างน้อย ๆ ให้มีอะไรติดไม้ติดมือออกมาบ้าง

นางทะลุมิติมาแต่ตัว พรวิเศษหรือก็ไม่มี มีเพียงแค่สองมือ ความทรงจำ และความสามารถติดมาเท่านั้น นี่จะไม่เป็นการรังแกกันมากไปหรอกหรือ

“เฮอะ ไม่ยุติธรรมเลย ไม่แน่ว่าจะได้อดตายแล้วจริง ๆ ยากจนข้นแค้นเสียขนาดนี้ คงได้ตายรอบสอง หวังว่าท่านจะให้ข้าตายไปเสียจริง ๆ นะเจ้าคะ พระเจ้าช่างกลั่นแกล้งข้าเสียจริง ๆ ” เว่ยจื้อโหยวเดินไปบ่นไป

“พี่สะใภ้ ท่านว่าอันใดนะขอรับ ข้าได้ยินไม่ถนัด”

“ไม่มีอะไรข้าแค่คิดดังไปหน่อย เราเดินกันมาตั้งนานแล้วยังไม่เจออะไรเลยนะอาซวน”

“ป่าแถวนี้ชาวบ้านมาหาของป่าเป็นจำนวนมากแล้ว วันนี้พวกเราก็มาช้า ก็คงไม่เหลืออะไรให้เราเก็บแล้วขอรับ"

“นั่นสิเจ้าคะพี่สะใภ้ แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงกันดีเจ้าคะ”

“เอาเถอะพวกเราลองเดินเข้าไปอีกหน่อยหากไม่เจออะไรจริง ๆ ก็คงจะต้องกลับไปมือเปล่า แต่ข้าจะไม่ยอมกลับบ้านไปมือเปล่าหรอกนะ”

“เช่นนั้นพวกเราเดินต่อไปอีกหน่อยก็แล้วกันนะขอรับ”

“ข้าหวังว่าจะพบเจอสมุนไพรหายากและล้ำค่าจะได้นำไปขายแล้วนำเงินไปจ่ายกับหัวหน้าหมู่บ้านพี่ใหญ่จะได้ไม่ต้องไปเป็นทหาร ข้าเกลียดสงคราม หากพี่ใหญ่ไม่อยู่ บ้านใหญ่จะต้องมารังแกพวกเราอีกแน่เลยเจ้าค่ะพี่สะใภ้”

“เชื่อใจพี่สะใภ้ได้เลย ข้าจะไม่ยอมให้ป้าสะใภ้มหาภัยมารังแกพวกเราได้อีก ที่ผ่านมาเป็นเพราะข้ายอมให้คนอื่นรังแกถึงได้มีสภาพเช่นนี้ หลังจากที่ข้าผ่านความเป็นความตายมาข้าตั้งใจว่าต่อไปนี้ใครมารังแกข่มเหงข้า ข้าจะไม่ยอมอีกต่อไป พี่สะใภ้คนนี้จะสู้เพื่อพวกเจ้าเอง”

“ขอบคุณพี่สะใภ้มากเจ้าค่ะ”

“ข้าก็ขอบคุณพี่สะใภ้เช่นกันขอรับ”

“ไม่ต้อง ไม่ต้องขอบคุณข้า พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ข้าที่จะปกป้องพวกเจ้าในตอนที่พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่”

ในตอนที่ทั้งสี่คนเข้าป่าไปแล้วนั้น มีม้าเร็วจากทางการมาส่งหนังสือที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เนื้อหาในจดหมายระบุว่าให้ชายหนุ่มที่มีอายุครบ 15 หนาวเข้าร่วมกองทัพไปรบที่ชายแดนเพื่อช่วยปกป้องบ้านเมือง และยกเลิกการจ่ายเงินทดแทน 10 ตำลึงเงินแทนการไปร่วมรบ ซึ่งหมายความว่าทุกคนที่อายุครบ 15 หนาวจะต้องเข้าร่วมรบครอบครัวละ 1 คน

หัวหน้าหมู่บ้านอ่านเนื้อความในจดหมายที่ทางการส่งมาให้เขาได้แต่ถอนใจ แน่นอนว่า 1 ครอบครัวต่อ 1 คน จะต้องส่งคนเข้าร่วมกองทัพ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้แล้ว ตอนนี้มีเงิน 10 ตำลึงทองก็ไม่อาจช่วยให้รอดพ้นได้ในตอนนี้

อวิ๋นเซียวตั้งหน้าตั้งตาตัดไม้ไผ่จนได้กองใหญ่ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ขนลงไปไว้ที่สวนหลังบ้าน จากนั้นเขาก็เดินกลับมาขนกลับไป เขาทำอยู่อย่างนั้นหลายรอบจนไม้ไผ่ที่ตัดเอาไว้หมด จากนั้นเขาก็เริ่มตัดไม้ไผ่ต่อเพราะเท่าที่เขาขนลงไปยังไม่พอสำหรับล้อมรั้วที่ดิน 3 หมู่ของเขา

ตัดมาที่จื้อโหยวและน้องสามีทั้งสอง หลังจากที่เดินเข้าป่ามานานสองนานก็ได้เพียงผักป่าเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสามคนไม่ย่อท้อและเดินมุ่งหน้าเข้าป่าไปลึกไปเรื่อย ๆ โดยที่ทั้งสามคนได้ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองได้รับปากพี่ชายและสามีว่าจะไม่เข้าไปในป่าลึก

“อาเฟย อาซวน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดชาวบ้านไม่จับปลาในลำธารไปกิน เท่าที่ข้าเห็นปลาเยอะมากลำธารหลังบ้านพวกเราเองก็มีปลาเยอะมากเช่นกัน”

“ปลาว่ายน้ำเร็วถึงเพียงนั้นต่อให้อยากจะจับพวกมันมาทำอาหารก็คงยากขอรับ ขนาดพี่ใหญ่ถือว่าพอมีฝีมือล่าสัตว์อยู่บ้างยังจับไม่ได้เลย นาน ๆ จะจับได้สักตัวขอรับ ต่อให้อยากกินขนาดไหนก็คงทำได้แค่มองเท่านั้น”

“อ่อ เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้ว เอาเป็นว่ากลับไปแล้วข้าจะลองไปจับปลาดูบ้าง แล้วปูกับกุ้งเล่าเหตุใดถึงไม่จับมาทำอาหาร”

“พี่สะใภ้ขอรับ เปลือกแข็งออกปานนั้นจะกินยังไงเล่าขอรับ”

“อ่อ ไม่รู้วิธีกินนี่เอง เช่นนั้นก็ดีแล้วจะได้มีอาหารเพิ่ม”

“พี่สะใภ้ รู้วิธีกินหรือเจ้าคะ”

“แน่นอนว่ารู้ เอาไว้กลับบ้านแล้วเราไปจับมาทำอาหารกัน รับรองว่าพวกเจ้าจะต้องชอบแน่”

“ขอรับ ข้าเชื่อพี่สะใภ้ขอรับ”

“โอ๊ะ เห็ดหอมล่ะ มาช่วยข้าเก็บเห็ดหอมเร็วเข้า ดอกใหญ่มาก”

“พี่สะใภ้ท่านโชคดีจริง ๆ เห็ดหอมตากแห้งมีราคาแพงมากขอรับ”

หลังจากที่จื้อโหยวเจอเห็ดหอม ในเวลาต่อมาพวกเขาก็เจอกับเห็ดหูหนูดำ เมื่อเก็บเห็ดจนหมดแล้วพวกเขาจึงเดินต่อ ด้วยความดีใจที่สามารถเก็บผักป่าและเห็ดได้เป็นจำนวนมาก ทำให้พวกเขาทั้งสามคนเดินเข้าป่าลึกไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว

ยิ่งเดินเข้าป่าลึกไปมากเท่าไหร่ผลการเก็บเกี่ยวย่อมมีมากขึ้น ในตอนที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บผักป่าอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรวิ่งมาทางพวกเขา ด้วยความตกใจเว่ยจื้อโหยวหันหลังกลับไปมองว่าเจ้าของเสียงวิ่งนี้เป็นตัวอะไรนางได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่สัตว์ป่าดุร้าย

เจ้าหมูป่าที่วิ่งหนีตายมาจากฝูงหมาป่า มันวิ่งเร็วสุดฝีเท้าโดยไม่สนใจว่าข้างหน้าจะมีอะไรขวางอยู่หรือไม่ ขอเพียงแค่มันรอดพ้นจากเจ้าฝูงหมาป่าพวกนั้นได้ก็พอแล้ว มันเองก็ย่อมอยากรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้เพียงเท่านั้น

เมื่อเว่ยจื้อโหยวเห็นว่าเจ้าของฝีเท้าเป็นหมูป่าตัวใหญ่ ด้วยความตกใจนางจึงหันไปบอกน้อง ๆ ทั้งสองคนให้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้หลังหินก้อนใหญ่ด้านหน้า

“อาซวน อาเฟย แย่แล้วหมูป่ากำลังวิ่งมาทางนี้ พวกเจ้ารีบขึ้นไปบนต้นไม้หลังก้อนหินเร็วเข้า”

“อะไรนะ มะ..หมูป่าหรือ แย่แล้ว ตายแน่ ๆ พี่รองเร็วเข้า พี่สะใภ้เร็วเข้า วิ่งขอรับวิ่ง”

เว่ยจื้อโหยวกลัวว่าทั้งสองคนจะปีนขึ้นต้นไม้ไม่ทัน นางจึงจับน้องสามีให้ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ส่วนตัวเองคิดว่าคงหนีไม่ทันแล้วได้แต่หลบอยู่หลังก้อนหินก้อนใหญ่ ส่วนเจ้าหมูที่หลับหูหลับตาวิ่งไม่มองทางเพราะกลัวว่าฝูงหมาป่าจะวิ่งตามมาทันทำให้มันมองไม่เห็นว่าข้างหน้ามีหินก้อนใหญ่ขวางอยู่

“ปัง!!”

หมูป่าที่วิ่งมาด้วยความเร็วพุ่งเข้าชนกับหินก้อนใหญ่อย่างจัง อนิจจาหนีรอดเงื้อมมือหมาป่ามาได้ตั้งนานเหตุใดมันถึงมาตายเพราะก้อนหินด้วย หมูป่าตายลงไปทั้งที่ใจไม่ยินยอม

“เอ่อ.. พี่สะใภ้ เหตุใดมันถึงไม่หลบก้อนหินเล่าขอรับ มันจงใจฆ่าตัวตายใช่หรือไม่”

“ข้าเองก็ไม่รู้ หรือว่ามันจะตาบอด”

“เล่นเอาข้าตกอกตกใจหมด ข้ากลัวจนฉี่จะราดแล้วเจ้าค่ะ”

“พวกเจ้าลงมา เราต้องรีบไปแล้ว หากว่าเราอยู่ที่นี่อาจจะมีสัตว์ร้ายตามกลิ่นเลือดมาก็ได้ เร็วเข้า”

“ขอรับ แล้วหมูป่าเล่า เราจะทิ้งเอาไว้อย่างนี้หรือขอรับ”

“ไม่ทิ้งแล้วเจ้าจะให้พี่สะใภ้แบกไปหรือ เราเองก็ยังเด็กนะอาซวนถึงแม้ว่าข้าจะเสียดายก็ตามที แต่ข้าเองก็ยังไม่อยากเป็นอาหารสัตว์ในป่านี่หรอกนะ”

“พวกเจ้าไม่ต้องห่วง พี่สะใภ้จะแบกเจ้าหมูนี่ไปเอง ไปกันเถอะ”

ถึงแม้เด็กน้อยทั้งสองคนจะไม่พูดอะไรแต่ในแววตากลับมีคำถาม

“พี่สะใภ้ตัวท่านก็เล็กผอมบางขนาดนี้จะแบกหมูป่าตัวใหญ่ไปได้เช่นไร ไม่แน่ว่าหากเป็นพี่ใหญ่ก็ยังไม่สามารถจะแบกมันไปได้ด้วยตัวคนเดียว”

แต่เมื่อทั้งสองเห็นพี่สะใภ้ของตัวเองยกหมูป่าตัวใหญ่ขึ้นพาดบ่า อีกทั้งนางยังเดินออกจากป่าไปด้วยความรวดเร็วประหนึ่งว่าที่นางแบกอยู่นั้นเบาดุจปุยนุ่น ทั้งสองคนวิ่งตามหลังพี่สะใภ้ออกจากป่าไปด้วยความโง่งม

เมื่อนางเห็นว่าเดินออกจากป่ามาไกลจนเกือบจะถึงป่าไผ่ที่สามีนางกำลังตัดไม้ไผ่อยู่นั้น เว่ยจื้อโหยวก็หยุดเดินและวางหมูป่าลง ตัวนางเองก็นั่งลงด้วยความเหนื่อยล้า เพราะร่างกายยังไม่ฟื้นเต็มสิบส่วน ถึงนางจะหายดีแล้วแต่ร่างกายนี้นับว่าอ่อนแออยู่บ้างเพราะขาดสารอาหาร

“โอย เหนื่อยมาก ข้าเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว” เว่ยจื้อโหยวพูดออกมาพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนข้างหมูป่า

“พี่สะใภ้ท่านเป็นอะไรขอรับ ไหวหรือไม่ หรือไม่สบายตรงไหน”

“ข้าไม่เป็นไรแค่เหนื่อย อาเฟยเจ้าไปตามพี่ใหญ่ของเจ้ามาเอาหมูตัวนี้กลับบ้านไป ข้าไม่ไหวแล้ว หากพี่ใหญ่ของพวกเจ้าถามว่าพวกเราเข้าป่าลึกไปหรือไม่ พวกเจ้าต้องบอกว่า เจ้าหมูตัวนี้วิ่งหนีอะไรมาถึงป่าชั้นนอกที่พวกเราหาของป่ากันและมันวิ่งชนก้อนหินตายเอง และพวกเราไม่ได้เข้าไปในป่าลึกเข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจขอรับ”

“เข้าใจเจ้าค่ะ”

“อือ เช่นนั้นเจ้าไปตามพี่ใหญ่เจ้ามา”

“เจ้าค่ะพี่สะใภ้ อาซวนดูแลพี่สะใภ้ด้วย”

"ขอรับพี่รอง”

อวิ๋นเฟยรีบเดินมุ่งหน้าตรงไปป่าไผ่ที่พี่ชายของนางอยู่ อวิ๋นเซียวที่หันไปเห็นน้องสาวเดินมาเขาก็ขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัยทันที ภรรยาและน้องชายของเขาหายไปที่ใดแล้วเหตุใดจึงมีเพียงน้องสาวกลับมาเพียงแค่คนเดียว

“พี่ใหญ่ ไปช่วยพี่สะใภ้ที่ชายป่าทีเจ้าค่ะ”

“นางเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” เขาถามน้องสาวแต่ไม่รอเอาคำตอบก็มุ่งหน้าวิ่งไปยังทิศทางที่น้องสาวชี้ทันทีด้วยความร้อนใจ

“อ้าว ข้ายังพูดไม่จบเลยพี่ใหญ่ รอข้าด้วย”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป