บทที่ 7 ภรรยาเจ้าทำข้าตกใจจะตายแล้ว

อวิ๋นเซียวที่ไม่ทันฟังคำพูดน้องสาวให้กระจ่าง ก็รีบวางไม้ไผ่ในมือลงและรีบวิ่งไปยังชายป่าตามทิศทางที่น้องสาวชี้ไปด้วยความร้อนใจ เขาไม่น่าปล่อยให้นางกับน้องสาวเข้าป่าไปกันตามลำพังเลย หากเกิดอะไรขึ้นกับนางเขาเองคงไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อตาท่านแม่ยาย ไหนจะครอบครัวท่านยายเหลียนและน้อง ๆ ของนางอีก

อวิ๋นเฟยที่ยืนอ้าปากค้างมองตามหลังพี่ชายที่รีบวิ่งออกไปทั้งที่นางยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ได้แต่ส่ายหน้าในความใจร้อนและร้อนใจของผู้เป็นพี่ชาย แต่นางก็สามารถเข้าใจได้ตั้งแต่พวกนางสามพี่น้องโดนบีบบังคับให้ต้องออกมาจากบ้านสายหลัก

พี่ชายนางคิดอยู่เสมอว่าเขาจะไม่สามารถแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ คงไม่มีใครอยากจะยกลูกสาวให้เขาที่มีฐานะยากจนแต่ในเมื่อเขามีโอกาสได้แต่งภรรยาเข้ามาแล้ว เขาย่อมต้องรักและเป็นห่วงพี่สะใภ้มาก ด้วยรูปโฉมของพี่สะใภ้เองก็งดงามออกปานนั้น อีกทั้งพี่สะใภ้ยังรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอมขนาดนี้หากนางเป็นพี่ชายก็คงต้องร้อนใจไม่ต่างกัน

อวิ๋นเซียววิ่งมาด้วยความเร็ว ด้วยความร้อนใจไม่นานเขามาถึงชายป่าพี่มีภรรยาและน้องชายรออยู่ เขาวิ่งมาก็พบว่าภรรยาของตัวเองนอนอยู่ข้าง ๆ หมูป่าตัวใหญ่ เขาตกใจจนหน้าไม่มีสีเลือด

“ภรรยาเจ้าเป็นอะไร เจ้าโดนหมูป่าทำร้ายเอาใช่หรือไม่ เจ้าเจ็บตรงไหนบอกข้ามา อาซวนเจ้ารีบกลับบ้านแล้วไปตามท่านหมอหยูมาข้าจะอุ้มพี่สะใภ้เจ้าตามไป”

“ตามหมอ ตามทำไมหรือขอรับพี่ใหญ่” อวิ๋นซวนที่นั่งอยู่ถามพี่ชายด้วยความไม่เข้าใจ

“เจ้ายังจะถามอีกหรือ ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไร รีบ ๆ ไปได้แล้ว”

เว่ยจื้อโหยวที่กำลังจะหลับก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความเหนื่อยอ่อนและรีบบอกสามีของนางว่านางไม่ได้เป็นอันใด เพียงแต่ตกใจและเหนื่อยเพียงเท่านั้นก่อนที่สามีของนางจะโวยวายและคิดไปไกลกว่านี้

“เดี๋ยว ๆ ท่านพี่ ข้าไม่ได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ ข้าแค่เหนื่อยและตกใจเพียงเท่านั้น อีกอย่างข้าเองเพิ่งจะหายป่วยร่างกายข้าจึงยังไม่แข็งแรงทำให้เหนื่อยง่ายถึงได้มานอนหมดแรงอยู่ตรงนี้เช่นไรเจ้าคะ”

“ภรรยาเจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ หากเจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนเจ้าต้องบอกข้านะ”

“ข้าไม่ได้เป็นอันใดจริง ๆ เจ้าค่ะ ท่านพี่วางใจได้”

“แล้วหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้มาได้อย่างไร ใช่พวกเจ้าเข้าป่าลึกไปใช่หรือไม่”

“เปล่านะเจ้าคะท่านพี่ พวกข้าเพียงแค่เก็บผักป่าอยู่ดี ๆ เจ้าหมูนี่ก็วิ่งมาทางพวกข้าเหมือนมันจะหนีอะไรมาสักอย่าง พวกข้าเองก็ตกใจจึงได้พากันวิ่งไปหลบอยู่หลังหินก้อนใหญ่ แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าเจ้าหมูป่าตัวนี้มันจะหลับหูหลับตาวิ่งขนาดนี้ มันวิ่งชนก้อนหินที่พวกข้าหลบอยู่ตายเจ้าค่ะ ด้วยความตกใจข้ากลัวว่าจะมีสัตว์ป่าดุร้ายตามกลิ่นเลือดมาอีกทั้งข้ากับน้อง ๆ เสียดายหมูป่าข้าเลยแบกมาด้วยเจ้าค่ะ พอคิดว่าออกมาพ้นจากอันตรายแล้วข้าเลยหมดแรงแบกต่อไม่ไหวแล้วเลยให้อาเฟยไปตามท่านพี่มาช่วยเจ้าค่ะ”

“ภรรยา เจ้าทำข้าตกใจจะตายแล้ว หมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้เจ้าเอาแรงที่ไหนแบกมากัน ทีหลังอย่าทำเช่นนี้อีก มันอันตรายรู้หรือไม่ หากเจ้าแบกออกมาไม่พ้นป่าเล่าจะทำเช่นใด หากสัตว์ป่าดุร้ายตามกลิ่นเลือดมาจะทำอย่างไร ถึงจะเสียดายแต่เมื่อจำเป็นต้องรักษาชีวิตก็ย่อมต้องทิ้งไปเข้าใจหรือไม่”

“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว เรารีบกลับบ้านเถอะเจ้าค่ะ ข้าหิวมากเลยตอนนี้”

อวิ๋นเซียวแบกหมูป่าเดินนำหน้าภรรยาและน้องสาวกลับบ้านไปทันที เมื่อกลับมาถึงบ้านเขานำหมูป่าไปวางเอาไว้ที่ลานหลังบ้านจากนั้นจึงได้ย้อนกลับไปขนไม้ไผ่ลงมาจนไม้ไผ่ที่ตัดเอาไว้หมดเขาถึงได้มาทำความสะอาดหมูและเตรียมแบ่งไปให้บ้านพ่อตาแม่ยายครึ่งตัวตามที่ภรรยาของเขาต้องการ

เว่ยจื้อโหยวคิดจะไปจับกุ้งและปูมาทำอาหารนางจึงชวนน้องชายน้องสาวไปที่ลำธารหลังบ้านทันทีและบอกให้สามีนำหมูอีกครึ่งตัวส่งไปที่บ้านท่านยายของนาง

“ท่านพี่ข้าจะไปลำธารหลังบ้านกับน้อง ๆ หากว่าท่านทำความสะอาดหมูเสร็จแล้วรบกวนท่านช่วยนำไปให้ที่บ้านท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”

“ได้เจ้าไปเถอะ ระวังตัวด้วยเล่า”

“เจ้าค่ะ พวกเราเองก็ไปกันเถอะ อาซวนเอาจอบไปด้วยนะ ส่วนอาเฟยเอาตะกร้าตาถี่ไปด้วย”

“ขอรับพี่สะใภ้”

“เจ้าค่ะพี่สะใภ้"

คล้อยหลังภรรยาและน้องชายน้องสาวเดินออกจากบ้านไปอวิ๋นเซียวรีบทำความสะอาดหมูอย่างว่องไว จากนั้นเขานำเนื้อหมูเข้าไปเก็บเอาไว้ภายในห้องครัวก่อนที่จะนำเนื้อหมูป่าที่แบ่งเอาไว้อีกครึ่งเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านพ่อตาแม่ยายทันที

ใช้เวลาไม่ถึง 2 เค่อเขาก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านเหลียนแล้ว อวิ๋นเซียวมองเข้าไปในบ้านก็ไม่พบใครสักคนเขาจึงได้ตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน

“ท่านยายเหลียน ท่านตาเหลียน ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายมีใครอยู่หรือไม่ขอรับ”

แม่เฒ่าเหลียนที่วันนี้อยู่บ้านไม่ได้ออกไปที่แปลงนากับคนอื่น เพราะที่ดินทำกินของพวกเขามีไม่มากนัก ตอนนี้มีลูกสาวลูกเขยมาช่วยแบ่งเบาภาระนางและสามีจึงไม่จำเป็นต้องไปทำงานในแปลงนา นางเพียงแต่พาหลาน ๆ ดูแลแปลงผักเล็ก ๆ หลังบ้านเท่านั้น

เมื่อนางได้ยินเสียงเรียกอยู่หน้าบ้านเหมือนจะเป็นหลานเขยของนางเรียกอยู่หน้าบ้าน แม่เฒ่าจึงรีบเดินออกมาหน้าบ้านทันที

“อาเซียวมีอันใดหรือ มีอะไรให้ยายช่วยหรือไม่”

“ไม่มีขอรับ ภรรยาให้ข้าเอาเนื้อหมูป่ามามาให้ขอรับ”

“เช่นนั้นรึ เช่นนั้นก็ช่วยเอาไปเก็บไว้ในห้องครัวให้ยายทีนะ พวกเจ้าผัวเมียไม่เห็นจะต้องเอามาให้ที่บ้านเลย เหตุใดไม่นำไปขายในอำเภอเสียล่ะ”

“เป็นความตั้งใจของภรรยาที่อยากจะแสดงความกตัญญูขอรับ ท่านยายไม่ต้องคิดมากนะขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนยังต้องไปช่วยภรรยาทำงานอีก”

“เช่นนั้นก็ไปเถอะขอบใจสำหรับเนื้อหมูนะ เอาไว้พรุ่งนี้พ่อตาแม่ยายรวมถึงพวกเราบ้านเหลียนทุกคนจะไปช่วยพวกเจ้าล้อมรั้วนะ”

“ขอรับท่านยาย เช่นนั้นข้าลาล่ะขอรับ”

หลังจากหลานเขยกลับไปแล้วแม่เฒ่าเหลียนก็หันหลังกลับเข้าไปในบ้านทันทีโดยที่ไม่เห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมาที่นางด้วยความเคียดแค้นใจ

เฉียนเสี่ยวหลิน ลูกสาวบ้านตระกูลเฉียนที่อยู่ข้างบ้านแม่เฒ่าเหลียน มองมายังแม่เฒ่าด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง สาเหตุมาขากแม่เฒ่าเหลียนยกหลานสาวให้แต่งงานกับอวิ๋นเซียวตัดหน้านาง

นางหลงรักอวิ๋นเซียวมานานเฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของนางจะไม่ยินยอมให้นางแต่งไปเป็นภรรยาของเขาแต่นางยังหวังว่าสักวันพ่อแม่ของนางจะใจอ่อนยอมให้นางแต่งงานกับเขา

แต่ความหวังของนางกลับต้องมาพังลงอย่างไม่เป็นท่า เมื่อครอบครัวลูกสาวของแม่เฒ่าเหลียนกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านต้าลี่แห่งนี้ ย้ายกลับมาอยู่ไม่เท่าไหร่ทำไมแม่เฒ่าน่าตายนี่ถึงได้ยกหลานสาวให้แต่งเข้าบ้านของชายหนุ่มที่นางหมายปองด้วย เพราะเรื่องนี้เฉียนเสี่ยวหลินจึงได้จงเกลียดจงชังต่อบ้านสกุลเหลียน

เว่ยจื้อโหยวไม่ได้รับรู้ความเกลียดชังที่มีต่อบ้านเดิมของนาง นางยังคงพาน้องชายน้องสาวทั้งสองเดินมุ่งหน้าเพื่อไปจับกุ้งและปูมาทำอาหารเพื่อเติมเต็มความหิวโหยของนาง

“พี่สะใภ้ถึงแล้วขอรับ”

“อาซวนเอาจอบมาให้ข้า ข้าจะลองทำกับดักปลาตามที่ข้าเคยเห็นในตำราเมื่อครั้งที่ข้าเข้าไปในเมืองกับท่านพ่อเมื่อตอนที่ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้”

“ได้ขอรับ แล้วมันจะได้ผลหรือไม่ขอรับ”

"ข้าเองก็ไม่แน่ใจ พวกเราทำได้แค่ลองดูเท่านั้น"

จากนั้นนางก็ขุดหลุมเอาไว้ข้างลำธารและนำโคลนมาป้ายตามก้นหลุมพร้อมทั้งใบไม้ที่กำลังจะเน่าเปื่อย จากนั้นนางก็ปล่อยน้ำจากลำธารให้ไหลมาตามทางน้ำเล็ก ๆ ที่นางขุดเอาไว้ เพื่อให้น้ำได้ไหลมาที่หลุมกับดักของนาง เมื่อขุดเสร็จแล้ว 1หลุม นางยังขุดเพิ่มอีก 3 หลุมด้วยกัน จากนั้นก็หาใบไม้และกิ่งไม้วางทับบนปากหลุมด้วย

“เอาล่ะ ขุดแค่ 4 หลุมก่อน หากว่ามันได้ผลเราจะมาขุดเพิ่มเพื่อจับปลาไปขายในเมือง ตอนนี้เราไปช่วยกันจับปูและกุ้งก่อนจะได้รีบกลับไปทำอาหาร"

“ได้เลยขอรับ พี่สะใภ้วางใจได้ข้าจะจับกุ้งและปูให้พี่สะใภ้เยอะ ๆ เลยขอรับ”

“รีบ ๆ จับเถอะอาซวน เจ้ามัวแต่คุยโวอยู่นั่นล่ะ”

“พี่รองล่ะก็ ข้าไม่ได้คุยโวนะขอรับ”

จากนั้นทั้งสามคนก็ลงไปในลำธารและช่วยกันจับปูและกุ้งใส่ตะกร้าที่เตรียมมา โดยที่แยกปูและกุ้งออกคนละตะกร้าเพื่อป้องกันไม่ให้ปูหนีบกุ้งจนตาย หากกุ้งตายแล้วจะไม่สดและรสชาติไม่อร่อยจื้อโหยวจึงให้น้องทั้งสองคนเตรียมมาสองตะกร้า

หลังจากที่ช่วยกันจับกุ้งจนได้เต็มตะกร้าแล้ว และได้ปูมาจนเกือบเต็มตะกร้าเว่ยจื้อโหยวจึงพาเด็กทั้งสองคนเดินกลับบ้านไปทำอาหารค่ำ

“เราจับมาเยอะขนาดนี้เราจะกินหมดหรือเจ้าคะพี่สะใภ้”

“ไม่หมดไม่เป็นไรเราขังใส่ไหดินเผาเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้เราค่อยนำมาทำกับข้าวอีกยังได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะกินไม่หมดหรอกนะ”

“เจ้าค่ะพี่สะใภ้ แล้วจะทำอะไรกินหรือเจ้าคะ เปลือกแข็งถึงเพียงนี้"

“เจ้าช่วยติดไฟที่เตาให้ข้าทีอาซวน ส่วนอาเฟยมาช่วยข้าล้างกุ้งกับปู”

หลังจากแบ่งงานกันแล้ว ทั้งสามคนก็รีบทำหน้าที่ของตัวเอง หลังจากที่อวิ๋นเซียวกลับมาจากการเอาเนื้อหมูไปให้บ้านพ่อตาแม่ยาย เขาก็กลับขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่ต่อทันที

จากเครื่องปรุงที่มีอยู่ในบ้านตอนนี้ คงทำได้แค่กุ้งคั่วเกลือ และน้ำแกงปูเท่านั้น นางลืมแวะดูกับดักปลาไปเสียสนิทเลย หากได้ปลามาทำน้ำแกงสักตัวก็คงดีไม่น้อย

หลังจากนั้นนางจัดการหุงข้าวและทำกับข้าวในอีกเตาข้างๆโดยมีสายตาของสองพี่น้องมองดูอยู่ไม่ห่าง เวลาผ่านไปไม่นานกลิ่นหอมของกุ้งคั่วเกลือที่ลอยออกมาทำให้พวกเขาหิวข้าวมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ น้ำแกงปูที่พี่สะใภ้ทำก็หอมมากเช่นเดียวกัน

“หอมมากเลยขอรับ ข้าไม่คิดว่ากุ้งกับปูจะสามารถนำมาทำอาหารได้น่ากินขนาดนี้ แถมเนื้อยังหวานมาก ๆ เลย พี่ใหญ่ต้องชอบแน่ ๆ เลยขอรับ ว่าแต่ว่าพี่ใหญ่หายไปไหน หรือว่าขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่ต่อ”

“น่าจะไปตัดไม้ไผ่นั่นล่ะอีกเดี๋ยวก็คงกลับมา ส่วนเนื้อหมูพวกนี้คงต้องแบ่งไปทำเนื้อหมูตากแห้งเก็บเอาไว้กินส่วนขาหมูหมักเกลือแล้วนำไปทำขาหมูรมควันจะดีกว่า พวกเจ้าว่าดีหรือไม่”

“ดีขอรับพี่สะใภ้”

“เช่นนั้นพวกเจ้าไปอาบน้ำรอพี่ใหญ่ของพวกเจ้ากลับมาก่อนแล้วจะได้กินข้าวพร้อมกัน”

ไม่นานอวิ๋นเซียวก็กลับมาจากป่าไผ่พร้อมกับเสียงเคาะสัญญาณของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อเรียกรวมลูกบ้านให้ไปประชุมพร้อมกันที่ลานหน้าศาลบรรพชนของหมู่บ้าน เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงสัญญาณนี้เขารู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก ไม่รู้จะมีเรื่องอันใดอีก หรือว่าจะเป็นเรื่องการเกณฑ์ชาวบ้านให้ไปเป็นทหาร เขาได้แต่หวังว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่เขาคิด

บทก่อนหน้า
บทถัดไป