บทที่สี่

สี่ปีต่อมา

“พยาบาลโซเฟียคะ” เสียงหนึ่งจากเคาน์เตอร์ทำให้ฉันที่กำลังรีบเดินต้องหยุดชะงักแล้วหันไปมองตามเสียง

มีพยาบาลสองคนอยู่หลังโต๊ะ และคนหนึ่งกำลังมองตรงมาที่ฉัน เธอคงจะเป็นคนเรียกฉัน

“มีคนขอสายค่ะ” เธอทำท่าชี้ไปที่โทรศัพท์ในมือ

“อ้อ ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันรีบเดินเข้าไปรับโทรศัพท์จากเธออย่างนุ่มนวล อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัดใจเพราะฉันควรจะไปตรวจคนไข้ ไม่ใช่มานั่งรับสายสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้

“สวัสดีค่ะ ใครคะ” ฉันถามพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนใจ

“โซเฟีย เกิดอะไรขึ้น” เป็นเสียงของลีออน และใบหน้าของฉันก็พลันสว่างไสวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ลีออน!” ฉันเหลือบมองพวกพยาบาล พึมพำขอโทษที่เผลอร้องเสียงดัง “ทำไมไม่โทรเข้ามือถือฉันล่ะ” ฉันพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ควบคุมได้มากขึ้น

“โทรแล้ว แต่มันปิดเครื่องอยู่”

“อ้อ เหรอ” ฉันไม่รู้เลย ไม่ได้มีเวลาดูมันด้วยซ้ำ ตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาลตอนเช้า ฉันก็ยุ่งหัวหมุนกับการดูแลคนไข้คนแล้วคนเล่า แบตคงหมดหรืออะไรสักอย่าง

“มีปัญหาอะไรรึเปล่า พวกเด็กๆ สบายดีไหม”

“เปล่า พวกเด็กๆ สบายดี ผมแค่อยากรู้ว่าคุณจะกลับบ้านกี่โมง เรากินข้าวเย็นกันแล้ว แต่ผมเก็บส่วนของคุณไว้ให้”

“โอ๊ย ขอบคุณนะ” ฉันเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง เกลียดตัวเองที่เริ่มกระวนกระวาย “ฉันขอโทษนะลีออน แต่ฉันไม่แน่ใจเลย ที่นี่ยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ”

“อ้อ ไม่เป็นไร พวกเด็กๆ หลับกันแล้ว เดี๋ยวผมก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน เจอกันที่บ้านนะ”

“ได้เลย ขอบคุณมากนะลีออน จริงๆ เลย คุณคือนางฟ้าของฉัน” ฉันพูดอย่างตื้นตันใจ พร้อมกับส่งจูบให้เขาผ่านโทรศัพท์

“อย่าคิดว่าจะเอาคำชมมาล่อผมได้นะ คุณผู้หญิง” เขาพูด แต่ฉันนึกภาพเขาฉีกยิ้มกว้างจนถึงหูออกเลย “ไปทำงานได้แล้วล่ะ บาย” เขาตัดสายไป ทิ้งให้ฉันหัวเราะคิกคัก

ฉันยื่นโทรศัพท์คืนให้พยาบาลคนนั้น และเธอก็รับมันไปพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้า

“รักเขามากเลยใช่ไหมล่ะ” เธอถาม

แน่นอนว่าเธอรู้จักลีออน ทุกคนที่ทำงานในโรงพยาบาลนี้รู้จักเขาทั้งนั้น เพราะเขามาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน และเขาก็เป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีที่คอยทักทายทุกคน แถมยังซื้อคัพเค้กหรืออะไรมาฝากอยู่เรื่อย

“ก็ต้องรักสิ” ฉันตอบ แล้วเธอก็หัวเราะคิกคักหนักกว่าเดิม ฉันโบกมือให้เธอก่อนจะรีบเดินไปยังคนไข้รายต่อไป

แต่คำถามของเธอกลับดังก้องอยู่ในใจ และมันก็ดึงฉันจมดิ่งสู่ห้วงความคิด

ฉันรักลีออนหรือเปล่า คำตอบคือใช่...แน่นอนที่สุด ฉันรักเขา ที่ช่วยฉันออกมาจากโรงพยาบาลนั่นเมื่อสี่ปีที่แล้ว ที่พาฉันมายังแพ็คนี้ซึ่งอยู่ห่างไกลจากแพ็คของดิเอโก้มาก ที่ช่วยให้ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่หาอพาร์ตเมนต์ให้ฉันกับลูกๆ ที่รับบทบาทพ่อในชีวิตของพวกเขาและมอบมาตรฐานการใช้ชีวิตที่ดีกว่าและเป็นพิษน้อยกว่าให้ และสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำอย่างแท้จริง

เขาเปรียบเสมือนแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาในชีวิตอันมืดมนของฉัน ฉันเป็นหนี้บุญคุณเขาทุกอย่าง ดังนั้นคำตอบจึงเป็นใช่...คำโตๆ เสมอ ฉันรักลีออน ริชชี เพราะเขาช่วยชีวิตฉันไว้

“คุณโซเฟีย” ฉันหยุดที่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยเมื่อถูกเรียกโดยหัวหน้าแพทย์

“คะ ท่าน” ฉันก้มศีรษะอย่างนอบน้อมขณะที่เขาเดินเข้ามาหา เขามีรอยยิ้มเล็กๆ สุภาพตามปกติ แต่หน้าผากกลับมีรอยย่นซึ่งบ่งบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ ท่าน”

“นิดหน่อย” เขาย่นจมูกแล้วพูดต่อ “มีคนไข้วีไอพีอยู่ที่ห้อง 208 และเขาต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ตลอดทั้งคืน”

ฉันพยักหน้า แม้ว่าจะไม่แน่ใจนักว่าเขาพยายามจะพูดอะไร

“คุณไปดูแลเขาหน่อยได้ไหม” เขาเสริม

“ขอประทานโทษค่ะ ท่าน แต่ตอนนี้ดิฉันทำไม่ได้ ดิฉันมีคนไข้ที่ต้องดูแล...”

“ให้พยาบาลคนอื่นมาแทนคุณนะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะสั่งให้คนอื่นมาทำแทนเอง แต่ช่วยไปดูแลคนไข้คนนี้หน่อยเถอะนะ ผมสัญญาว่าจะตอบแทนคุณอย่างงามเลย”

มันฟังดูผิดจรรยาบรรณสิ้นดีที่จะทิ้งคนไข้ของตัวเองไปหาคนไข้ที่เอาแต่ใจและหยิ่งยโสซึ่งร้องขอการดูแลเป็นพิเศษคนหนึ่ง ฉันอยากจะปฏิเสธใจจะขาดแต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของหัวหน้าแพทย์ได้ ฉันจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ

“ได้ค่ะ คุณหมอ”

เขายิ้มอย่างผู้มีชัยแล้วตบหลังฉันเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป

ฉันสูดหายใจเข้าลึก พยายามข่มความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นในอก เมื่อใจเย็นลงแล้ว ฉันก็มุ่งหน้าไปยังห้องพักผู้ป่วย ห้องนั้นมีหมายเลขพิมพ์ตัวหนาติดอยู่บนประตู

ฉันบิดลูกบิด ก้าวเข้าไปข้างใน แล้วปิดประตูตามหลังเบาๆ

เพียงไม่กี่วินาทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมอง ฉันก็ถึงกับตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ชายคนนั้นหันหลังให้ฉันและกำลังพยายามจะสวมเสื้อ

มัดกล้ามที่ปูดโปนจนเห็นเส้นเลือดของเขาทำเอาฉันตัวแข็งทื่อ ความสูง รัศมี รัศมีที่น่าสะพรึงกลัวนั่น มันปั่นป่วนหัวของฉันในทันที ทำให้ความทรงจำที่ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะฝังกลบมันผุดขึ้นมาอีกครั้ง

ความทรงจำเกี่ยวกับอสูรกายตนนั้นยังคงตามหลอกหลอนในความฝัน ทำให้ฉันไม่สามารถลืมเขาได้อย่างสนิทใจ

แต่นี่มันบ้าไปแล้ว ทำไมฉันถึงรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างกับว่าเขาอยู่ที่นี่

นี่ไม่ใช่เขา ผู้ชายคนนี้อาจจะมีรูปร่างเหมือนเขาทุกกระเบียดนิ้ว แต่นี่ไม่ใช่เขา แพ็คของเขาอยู่ไกลออกไปเป็นพันไมล์ ไม่มีทางที่เขาจะลงมาที่นี่เพื่อตรวจร่างกายหรืออะไรก็ตาม

“คิดจะยืนจ้องฉันทั้งคืนเลยรึไง” น้ำเสียงทุ้มลึกแหบพร่าอย่างมีเสน่ห์กระชากฉันออกจากภวังค์

น้ำเสียงนั่น มันเกือบจะเหมือนเสียงของเขา เกือบ... แต่มันไม่ใช่เสียงของเขา มันจะเป็นเสียงของเขาไปไม่ได้

“ขอโทษค่ะ” แก้มฉันร้อนผ่าวด้วยความอับอาย “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”

“มีสิ ขอความสงบสุขหน่อย” เขาตอบเสียงห้วนเหมือนกำลังโมโห และหยิ่งยโสมาก ตอนนี้ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทั้งประหม่าและฉุนกึกขึ้นมา

“คุณไม่ได้ขอให้คุณหมอช่วยดูแลเป็นพิเศษหรอกเหรอคะ” ฉันถาม พยายามทำใจให้เย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ฉันเดาว่าใช่ แล้วเธอทำอะไรได้ล่ะ เป่าให้เหรอ หรือ...อยากจะขึ้นให้” เขายังคงหันหลังให้ฉัน สวรรค์ทรงโปรด เพราะเขาจะได้ไม่เห็นว่าหน้าฉันแดงก่ำแค่ไหน

อะไรนะ เป่า...เป่าให้เหรอ ไอ้คุณหมอบ้าเอ๊ย!

มันไม่ใช่การดูแลเป็นพิเศษทางการแพทย์ เขาพยายามจะขายฉันให้อีตาบ้าจองหองคนนี้ต่างหาก ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงนะ

“ว่าไงล่ะ” เขาถามพลางเสยผมยาวสลวยที่ทำให้ฉันนึกถึงดิเอโก

มันยากที่จะหาคำตอบในขณะที่ความทรงจำพรั่งพรูเข้ามาไม่หยุด แถมฮอร์โมนของฉันยังปั่นป่วนไปกับคำพูดของเขาอีก

และแล้วเพื่อเป็นการปิดท้าย เขาก็หันกลับมา เคราที่เล็มอย่างประณีตคือสิ่งเดียวที่ต่างไปจากเมื่อสี่ปีก่อน แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันคืออสูรกายที่ทำลายชีวิตฉัน แม้จะหล่อร้ายกาจ แต่ทุกอณูก็ยังคงเป็นอสูรกาย

"โซเฟีย" ตาของเขาเบิกกว้าง ความเงียบที่น่าตกใจ ถูกเติมเต็มด้วยเสียงหัวใจที่เต้นรัวของฉัน และอาจจะของเขาด้วย

เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เขาหาฉันเจอได้ยังไง ยังไงกัน ทำไม

“เชี่ยเอ๊ย นี่เธอจริงๆ เหรอ” เขาก้าวเข้ามาใกล้ ความจริงที่ว่าเขากำลังจะเข้ามาใกล้กระตุ้นให้ฉันตอบสนองอย่างรวดเร็ว

ฉันหันหลัง คว้าลูกบิดแล้วกระชากประตูเปิด แต่เสียงกรีดร้องก็หลุดจากริมฝีปากฉันเมื่อเขาดึงฉันกลับไปแล้วเตะประตูปิดดังปัง

“ปล่อยฉันนะ!” ฉันร้องลั่น ขณะที่เขาเหวี่ยงแผ่นหลังฉันกระแทกเข้ากับประตูอย่างแรง แขนของเขารัดรอบตัวฉันอย่างแน่นหนาและแสดงความเป็นเจ้าของ

ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้จนน่าใจหาย ขากรรไกรของเขาขบกันแน่น เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นในใจ

“ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ” ฉันดิ้นแรงขึ้น แต่เขาคืออสูรกายที่ไม่เคยรับฟังเสียงร้องขอของฉัน ไม่ใช่ในคืนที่เขาพรากพรหมจรรย์ของฉันไป ไม่ใช่ในคืนที่เขาทรมานฉัน ไม่เคยมีสักครั้งในความทรงจำที่เขาจะฟังเสียงร้องไห้ของฉัน แล้วจะเหนื่อยไปเพื่ออะไรกัน

“สี่ปีเต็มๆ เลยนะโซเฟีย แล้วคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอหนีไปอีกรึไง ไม่มีวัน...”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป