บทที่ 3 บทที่ 2 วิวาห์ตัวแทน 50%
บทที่ 2 วิวาห์ตัวแทน
ข่าวงานแต่งงานระหว่างกวินตรากับมาวินขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ธุรกิจแทบทุกฉบับในเช้าวันนี้ ข่าวใหญ่ในวงการธุรกิจที่คนในวงการต่างตื่นตัว เพราะไม่ใช่เพียงการควบรวมธุรกิจ ยังแสดงออกชัดเจนถึงอำนาจสองขั้วกำลังผนึกเข้าหากันจนยากจะต่อกร ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดี โรงแรมห้าดาวของเลิศวรานนท์ถูกเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานช่วงเย็น ช่วงเช้ามีพิธีรดน้ำสังข์ และพิธีสงฆ์ที่บ้านของเจ้าสาว คุณหญิงรจเรศแจ้งแก่เลิศวรานนท์ว่าบิดาของกวินตราอาการทรุดไม่อาจมาร่วมยินดีกับบุตรสาวในงานได้ คุณหญิงวารีแอบทักท้วง เอ่ยปากเรื่องการเลื่อนงานแต่งออกไปก่อน ทว่าคนที่ตั้งตารอวันนั้นมาตลอดปฏิเสธเป็นพัลวัน
“โอ้ย คุณหญิงวารีอย่ากังวลค่ะ คุณชินกรน่ะ ดีใจมากกว่าลูกสาวอีกค่ะ ที่ว่าอาการทรุดคือตอบสนองมากไม่ได้ ไม่ถึงขั้นร้ายแรงอะไรค่ะ”
ไม่ร้ายแรงหรือ… กลอยใจลอบส่ายหน้าเมื่อได้ยิน
ตั้งแต่วันที่มารดาของกวินตราไปอาละวาดที่บ้านเล็ก เพราะขัดใจที่หล่อนพาบิดานั่งวิลแชร์ออกไปรับลมที่สวน ผู้ให้กำเนิดก็อาการทรุด ทานข้าวไม่ได้ อ่อนเพลีย มีอาการตรอมใจอย่างเห็นได้ชัด หากกลอยใจก็เลือกจะเงียบ เพียงวางแก้วน้ำผลไม้คั่นสดบนโต๊ะ แล้วปลีกตัวออกมาเงียบๆ เช่นเคย
ร่างบางเดินเหม่อออกมาจนถึงหลังบ้าน ทอดสายตามองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ในหัวครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง และบางอย่างไม่มีวันเป็นไปได้
ในเมื่อ… มาวินกำลังจะเป็นน้องเขยของเธอ
“น้องกลอย” เสียงทุ้มคุ้นหูทำให้ร่างบางที่ยืนนิ่งสะดุ้ง หันใบหน้าหวานกลับมามองอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
“คะ คุณวิน”
มาวินเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ และเป็นสิ่งที่ทำให้เธอประทับใจในตัวเขา
“มายืนทำอะไรตรงนี้” เขาถามพลางเดินนำไปนั่งที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วง บริเวณสวนหลังบ้าน สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมาวิ่งเล่นกับเด็กมอมแมมในบ้านวรโชติพงศ์เช่นเธอ หากสถานะของชายหนุ่มที่กำลังจะเปลี่ยนไปทำให้กลอยใจอึดอัด กลอกตาไปมาอย่างระแวดระวังด้วยกลัวจะมีใครมาพบเข้า มันจะส่งผลให้เขาเสียหายหรือคนบ้านนี้ไม่พอใจจนเอาอารมณ์มาสาดใส่เธออีก
มาวินเหมือนหยั่งรู้ ชายหนุ่มจึงยิ้มกว้างขึ้น เอ่ยบอกให้คนตรงหน้าสบายใจ
“ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่มีใครมาแถวนี้ เชื่อพี่”
เขาเอื้อมมือออกไป ปัดไล่ฝุ่นลมแล้วตบปุๆ ที่ว่างข้างตัว
“มานั่งนี่สิ”
กลอยใจลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ทำตามที่หัวใจปรารถนา ร่างบางก้มหน้าเดินไปนั่งลงเคียงข้างร่างสูง กลิ่นกายหอมสะอาดคุ้นเคยพร้อมลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมาส่งผลให้หัวใจที่เต้นช้าสั่นไหวรุนแรง นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ใกล้ชิดเขาขนาดนี้ ร่วมสิบปีเห็นจะได้ ครั้งสุดท้ายที่เธอมีโอกาสมองเขาในระยะสายตาเช่นนี้คือเมื่อสิบปีก่อน ตอนที่เขามาบอกลาก่อนจะไปร่ำเรียนที่ต่างประเทศตามคำสั่งของมารดา วันนั้นกลอยใจจำได้ว่าตนเองร้องไห้จนจับไข้ไปหลายวัน ความรู้สึกที่ว่าเขากับเธอต่างกันยิ่งมากขึ้น ระยะห่างที่เคยขนานขยายวงกว้างจนไม่อาจบรรจบกันได้
“ที่นี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่ม รอยยิ้มอบอุ่นทอดมองมาอย่างอาทร
กลอยใจระบายยิ้ม มองสบสายตาคมอบอุ่นคู่เดิมแล้วพยักหน้าตอบ
มาวินหัวเราะเบาๆ หันกลับไปทอดสายตาอ่อนหวานปนเศร้ามองต้นมะม่วงเขียวเสวยเบื้องหน้าพลางเอ่ย
“กลอยเองก็…”
เขาหันกลับมา ส่งยิ้มอาทรมอบให้ด้วยหัวใจคิดถึง
“ยังเหมือนเดิมนะ”
กลอยใจเหมือนน้ำเย็น เธอพูดน้อย หากรอยยิ้มที่มอบให้กลับสร้างความรู้สึกพิเศษต่อหัวใจดวงนี้มาตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเยือนบ้านวรโชติพงศ์เพื่อรับรู้สถานะของตน สิ่งเดียวที่มาวินจดจำได้กลับเป็น… กลอยใจ
หล่อนธรรมดา ในสายตาใครต่อใครกลอยใจอาจเป็นเพียงเด็กรับใช้ ลูกนอกสมรสหรืออะไรก็ตามที่กวินตรากับมารดาพยายามยัดเยียดให้ ทว่าสำหรับมาวิน หญิงสาวเป็นเพื่อน น้องสาว และเป็นคนที่เขาเห็นความจริงใจในดวงตาของเธอเสมอมา ความอาทรห่วงใย โดยเฉพาะความจริงใจที่หญิงสาวมอบให้ตั้งแต่เล็กจนโต ชายหนุ่มไม่เคยลืม แต่ยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อต้องห่างไกลกันคนละฟากฟ้า
หลายปีที่ต้องไปศึกษาร่ำเรียนต่างประเทศตามความประสงค์ของครอบครัวทำให้เขาเข้าใจตนเอง รับรู้ว่าหัวใจดวงนี้ต้องการสิ่งใด เขากลับมาที่นี่เพื่อทำตามสิ่งที่ตนปรารถนา ทว่าเมื่อเอ่ยปาก เสียงตวาดของมารดาก็สวนกลับมาทั้งๆ ที่ยังฟังไม่ทันจบ
“ถ้าแกคิดจะแต่งงานกับคนอื่น แกต้องรอให้แม่ตายก่อน!”
เพียงเท่านั้น หัวใจที่เพิ่งมีหวังก็พังยับเยิน มาวินจำใจต้องหมั้นหมายกับกวินตรา ถอยห่างความสัมพันธ์กับกลอยใจ เพื่อไม่ให้ใครสงสัย เขาทำตัวเหินห่างกับหญิงสาวเพื่อรักษาความรู้สึกส่วนลึกเอาไว้ เพราะมารดาจับตามองทุกอย่างในชีวิต แม้กระทั่งการคบเพื่อน เขาไม่มีเพื่อนมากนัก คนที่สนิทใจจนคบหาหรืออยากผูกมิตรก็มักถูกมารดาขัดขวาง ท้ายที่สุดเขาก็เหลือเพียงน้องชาย…
วาคินเป็นคนเดียวที่เขาสนิทใจ และเป็นคนเดียวที่เขาเปิดใจกับอีกฝ่ายทุกเรื่อง
“น้องกลอย” เขาเรียกคนข้างกายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แววตาอ่อนแสงลงยามมองเห็นความโศกศัลย์ในดวงตาคู่หวานที่มักเรียบเฉย หากเมื่อจ้องมองอย่างละเอียดจะพบกับความอบอุ่นจริงใจที่ขังคลออยู่ในนั้น
กลอยใจพิเศษกว่าคนอื่น เป็นแหล่งก่อเกิดความสุขอย่างที่เขาไม่เคยเป็น
ใครๆ คงคิดว่าชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมเช่นเขา เหตุใดต้องมองหาความสุข… นั่นเพราะตั้งแต่เกิดมาเขาเป็นเสมือนตัวแทนของบิดา แม้มารดา และบิดาจะแยกทางร้างรากันไปนานแล้ว แต่ในหัวใจของมารดายังมีเพียงบิดาเสมอ นั่นเป็นเหตุผลให้เขาเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของท่าน ชีวิตที่เหลือจึงถูก ‘กำหนด’ ทุกอย่างเอาไว้เป็นเส้นทางให้ต้องเดิน
บางครั้งมาวินนึกอิจฉาวาคินด้วยซ้ำ น้องชายได้รับความรักจากบิดามากมายเหลือเกิน ในขณะที่เขาไม่เคยได้รับอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อเลยสักครั้ง เพราะท่านมองว่าเขาเหมือนมารดา เช่นเดียวกับที่มารดามองว่าเขาเหมือนบิดา ทว่ามารดาแสดงความรักที่มีต่อเขาแตกต่างไปจากความรักของแม่ลูกคู่อื่น ท่านขีดเส้นทางให้ ออกคำสั่ง จับตามอง และกำหนดชีวิตของเขาให้เป็นไปดั่งใจของท่านปรารถนา ด้วยเหตุผลว่า…
‘แม่หวังดีกับลูก’
บางครั้งเขาก็นึกอยากหนีไปให้ไกลที่สุด ใช้ชีวิตของตัวเองกับคนรักที่เลือกด้วยหัวใจ ทว่าเพียงแค่ก็รู้สึกผิด และสับสนด้วยมารดามีอาการป่วยทางจิตต้องดูแลรักษา
“คุณเป็นโลกทั้งใบของท่าน”
จิตแพทย์ที่รักษาอาการป่วยแก่มารดาให้คำแนะนำ และนั่นก็เหมือนโซ่ที่พันธนาการเขาเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหลุดไปจากอ้อมอกของท่าน สุดท้ายสิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียง…
ยอมจำนน…
“พี่…” เขาพึมพำในลำคอ มองดวงหน้าอ่อนหวานของกลอยใจนิ่งนานจึงรวบรวมความกล้า… “รักกลอยนะ”
ทว่าน้ำเสียงของเขาเบาราวกับเสียงกระซิบ
กลอยใจย่นคิ้ว ได้ยินช่วงท้ายของประโยคเบาจนฟังไม่ได้ศัพท์
“อะไรนะคะคุณวิน”
มาวินหัวเราะลงคอ ส่ายหน้าด้วยแววตาอ่อนแสงโดยสิ้นไร้ความหวัง
แม้กระทั่งคำว่า ‘รัก’ ที่ต้องบอกกับเธอยังไม่กล้าพอ
มาวินสะทกสะท้อนใจ กลืนก้อนสะอื้นในอก แล้วปั้นยิ้มยากเย็นให้คนข้างกายแล้วเสเปลี่ยนเรื่องไป
“เรียกพี่วินได้ไหม”
นี่เป็นคำขอครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจจำได้ แต่กลอยใจก็มักปฏิเสธเสมอ
เขารู้… เพราะสถานะ ‘คู่หมั้นของน้องสาว’ ทำให้เธออึดอัดใจที่จะเอ่ย
“เรียกสักครั้ง ก่อน…”
ลำคอของชายหนุ่มแห้งผาก น้ำเสียงขาดห้วงยามเอ่ย “ก่อนที่พี่จะไป”
ไปเป็นของคนอื่น… หรือไปในที่ที่ไกลแสนไกล
กลอยใจกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อเหลาแสนอบอุ่นอย่างตั้งคำถาม ดวงตาหวานโศกเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็อดอุ่นซ่านในหัวใจไม่ได้ นานมากแล้วที่เธอกับเขาไม่มีช่วงเวลาสุขใจเช่นอดีต
หญิงสาวจึงยิ้มบางๆ บอกตัวเองว่ามาวินยังคงเป็น ‘พี่วิน’ คนนั้นเหมือนเดิม เขาไม่ได้เปลี่ยนไปจากวันวานนัก มันคงไม่หนักหนาสักเท่าไหร่ หากหล่อนจะเอ่ยเรียกพี่ชายคนนี้เช่นที่เขาต้องการ และเธอเองก็ปรารถนามัน…
“พี่วิน”
พี่… ที่ให้ความหมายต่างออกไป หากก็เป็นความหมายที่ไม่อาจเป็นไปได้
มาวินยิ้มรับ ตอบกลับเบาๆ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“น้องกลอย”
กลอยใจยิ้มตอบ หัวใจทั้งอุ่นร้อนทั้งปวดร้าว นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่กล้าพอจะเรียกเขาว่า ‘พี่วิน’ และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขากับเธอจะสามารถนั่งเคียงข้าง ยิ้มแย้มมอบให้กัน รวมไปทั้งพูดคุยอย่างสนิทสนมเช่นนี้ เพราะอีกไม่นาน… มาวินจะกลายเป็นสามีของกวิตรา มีสถานะเป็นน้องเขียนของเธออย่างสมบูรณ์
งานแต่งงานระหว่างสองครอบครัวมหาเศรษฐีจัดขึ้นอย่างใหญ่โต กระทั่งงานเช้าที่ว่ากันว่าเป็นงานส่วนตัวยังมีแขกเหรื่อร่วมสองร้อยคน บ้านวรโชติพงศ์เปิดต้อนรับแขก และญาติสนิทตั้งแต่เช้าตรู่ กลอยใจได้รับคำสั่งให้อยู่ในบ้านหลังเล็กเพียงเท่านั้น หล่อนมองบิดาที่นั่งนิ่งบนรถเข็นเหม่อมองบรรยากาศคึกคักของผู้คนทั้งเพื่อนฝูง ญาติสนิท และคนในวงสังคมที่คุ้นหน้าค่าตา ทว่า… บิดากลับไม่มีโอกาสจับจูงมือบุตรสาวคนเล็กเข้าสู่ประตูวิวาห์อย่างที่ควรจะเป็น
กลอยใจนึกเวทนา ตั้งแต่บิดาป่วย น้องสาวก็ขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญในบริษัทใช้ความรู้ ความสามารถจนพาบริษัทที่ร่อแร่ใกล้ล้มผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติ กระทั่ง VP Enterprise กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งด้วยฝีไม้ลายมือของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
กลอยใจชื่นชมน้องสาวในเรื่องนี้ด้วยใจจริง หากไม่นับนิสัยเอาแต่ใจ ความเป็นเพอร์เฟคชั่นนิชที่มากเกินไป กวินตราจะเป็นผู้หญิงที่น่าประทับใจคนหนึ่ง รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ของน้องสาวงดงามสมกับเป็นทายาทของคุณหญิงรจเรศ อดีตนางงามเก่าอย่างไม่ผิดเพี้ยน กวินตราได้แต่ส่วนดีของมารดา และบิดาไป ส่วนเธอไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ผิวพรรณ หรือแม้กระทั่งดวงตา กลับเหมือนมารดาราวพิมพ์เดียวกัน เพราะแบบนั้นคุณหญิงรจเรศถึงได้เกลียดชังเธอราวกับขยะชิ้นหนึ่ง
‘แกเหมือนนังแก้วตาจนฉันนึกอยากฆ่าแกวันละหลายหน’
บิดาเคยรักมารดาของเธอ แต่จำใจแต่งงานกับท่าน คุณหญิงรจเรศจึงเกลียดชังใบหน้ารูปไข่กับดวงตากลมโศกของเธออย่างไร้สาเหตุ แถมยังเสี้ยมสอนให้กวินตราปฏิบัติต่อเธอราวกับคนรับใช้ไม่ใช่พี่น้องอีกด้วย เมื่อก่อนเธอเคยนึกโกรธเกลียด ต่อมาความรู้สึกด้านลบเหล่านั้นกลายเป็นความเฉยชา
กระนั้นพอเห็นบิดาเศร้าหมองลงเรื่อยๆ ก็ยังปลอบโยนไม่ได้
“เข้าข้างในไหมคะคุณพ่อ” เสียงของหล่อนเบาหวิว เมื่อเห็นน้ำตาจากหางตาของผู้ให้กำเนิด อยากพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดให้เอื้อนเอ่ย
“คุณกลอยคะ” เสียงกระหืดกระหอบพร้อมร่างที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาทำให้กลอยใจหันไปมอง
“ว่าไงคะพี่ปุ้ม”
