บทที่ 9 สกุลเจิน
“ข้าไม่รู้หรอกนะ ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยทำอะไรข้าบ้าง แต่จำเอาไว้เลย ว่านับจากนี้ต่อไป ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ามารังแกข้าอีกแล้ว” พูดจบมือเรียวก็สะบัดแขนของอีกฝ่ายแล้วหมุนตัวเดินหนีออกมาทันที ทั้งชุนเหยียนและหนิงเซียงต่างก็งุนงงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า
“เป็นแบบนี้ได้ยังไง” ปากกระจับบ่นพึมพำคนเดียว มือข้างหนึ่งจับคลึงมือข้างที่ถูกบีบเพื่อบรรเทาความเจ็บ เพราะเธอไม่คิดว่าจะถูกสวนจึงไม่ทันตั้งตัว ถูกถงหลานเฟยเอาคืนเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้ถูกตัวอีกฝ่าย ตอนแรกตั้งใจจะมาขู่ให้กลัวเรื่องที่จมน้ำแล้วรอดมาได้ แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเองต้องมารู้สึกกลัวถงหลานเฟยที่เปลี่ยนไปเสียเองอย่างนั้นหรือ
เมื่อเดินมาถึงลานหน้าจวน ที่นี่ถูกจัดวางด้วยโต๊ะไม้เพื่อวางอาหาร จากการคำนวณด้วยสายตา เดาได้ว่าคงพอสำหรับรองรับแขกสักสิบคนได้ ซึ่งถงหลานเฟยนั้นก็ไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดของสมาชิกในจวนนี้ และก็ไม่รู้ว่าจะมีการชวนแขกจากที่อื่นมาร่วมรับประทานอาหารด้วยหรือไม่
“เสี่ยวถง...” เสียงหวานของเจินลี่หลัวเอ่ยเรียกด้วยความอบอุ่นอย่างทุกครั้ง คุณหนูใหญ่ของตระกูลเจินสวมอาภรณ์สีทองอร่ามแลดูสว่างและเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ที่คอสวมสร้อยทองเส้นพองามห้อยด้วยจี้ทับทิมเม็ดโต ที่ศีรษะประดับด้วยปิ่นดอกไม้สีทองพองามไม่มากจนล้น
"มีแขกเยอะหรือเปล่าเจ้าคะท่านพี่ลี่หลัว" ความทรงจำของเจ้าของร่างเตือนถงหลานเฟยคนใหม่ว่าเธอต้องเรียกหญิงสาวตรงหน้าแบบนั้น คนถูกถามเปรยยิ้มพอใจ ที่คำพูดของถงหลานเฟยเริ่มจะกลับมาเป็นคนเดิมบ้างแล้ว
"ไม่มีใครหรอกนอกจากคนในจวน ก็มีแม่ทัพเจิน ข้า ท่านน้าทั้งสองและลูกๆ ของพวกเขาทั้งสี่คน แล้วก็เจ้า..." เมื่อเห็นว่ามีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามา เจินลี่หลัวก็นึกได้ว่าตัวเองนับคนตกไปหนึ่งคน
"อ้อ ข้าลืมคนสนิทของแม่ทัพเจินไปอีกคน" สายตาของเจินลี่หลัวที่มองไปที่สตรีในชุดสีแดงนั้น แสดงถึงความรังเกียจอย่างชัดเจน นางมิได้รังเกียจที่หนิงเซียงเป็นสาวชาวบ้าน แต่รังเกียจที่นางจิตใจหยาบ ก่อนหน้าที่จะรู้เรื่องการมาระรานว่าที่น้องสะใภ้ เจินลี่หลัวก็รู้จักสรรพคุณการกดขี่บ่าวในจวนของหนิงเซียงมาก่อน ทำให้ไม่ถูกชะตากันมาตั้งแต่ตอนนั้น
"เราไปนั่งกันก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวทุกคนคงจะมากันครบ" เจินลี่หลัวไม่ได้สนใจคนที่เพิ่งจะเดินผ่านสายตาแสนรังเกียจของตัวเองไป แต่เมื่อหันไปที่โต๊ะอาหารก็พบว่าตำแหน่งที่ควรจะเป็นของนางนั้น ถูกแย่งไปโดยสตรีที่ไม่รู้ขนบธรรมเนียม
"หนิงเซียง ที่ของเจ้าอยู่ตรงนั้น ตรงนี้มันที่ของข้า" เจินลี่หลัวเดินตรงเข้าไปบอกกับคนที่นั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ที่เก้าอี้ ซึ่งควรจะเป็นของตน ฝ่ายคนที่นั่งอยู่ก็มองหน้าคนพูดอย่างไม่เกรงกลัว พลางก้มมองที่เก้าอี้ข้างตัวที่ยังว่างอยู่ ก่อนจะเงยหน้ากลับมามองเจินลี่หลัวอีกครั้ง
"ตัวนี้ก็ว่าง เหตุใดท่านพี่ถึงอยากจะมานั่งตัวที่ข้านั่งอยู่ละเจ้าคะ" เจินลี่หลัวถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วพูดกับคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเรียบ
"ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นคนป่า ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของคนเมือง แต่เมื่อข้าบอกเจ้าแล้วก็ควรจะลุกขึ้น มิใช่มาเถียงข้าเช่นนี้" คนถูกต่อหน้าเม้มปากแน่น นางอยากจะลุกขึ้นเถียงใจแทบขาด แต่เพราะเคยทำไปแล้ว และถูกเจินฮุ่ยหมิงต่อว่า จึงไม่กล้าจะกระทำเช่นนั้นอีก
"อันที่จริงเจ้าน่าจะจดจำบ้าง เพราะนี่ก็ไม่ใช่การร่วมโต๊ะอาหารครั้งแรก ถึงจะโง่เขลาเบาปัญญาอย่างไร แต่การจดจำเรื่องที่เคยทำไปบ้างแล้ว ก็ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถอะไรนักหนา" ถงหลานเฟยลอบกลืนก้อนน้ำลายลงคอ แต่ละวาจาของคุณหนูใหญ่ตระกูลเจินนั้นช่างบาดลึก ดูจากหน้าคนถูกต่อว่าก็รู้สึกได้
"คุยอะไรกันอยู่หรือ" เสียงของเจินฮุ่ยหมิงดั่งเสียงระฆังสวรรค์ หนิงเซียงรีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปหลบหลังบุรุษที่เพิ่งเดินเข้ามา พร้อมกับคู่สามีภรรยาและเด็กๆ อีกสี่คน
"ข้ากำลังอบรมสั่งสอนหนิงเซียงเรื่องมารยาทน่ะ ไม่มีอะไรหรอก" เจินลี่หลัวว่าพลางมองไปที่สตรีผู้หลบอยู่ด้านหลังของน้องชาย
"งั้นหรือ เชิญนั่งเถิดท่านน้า" เขาไม่ได้ถามไถ่อะไรต่อ แต่เลือกที่จะหันไปเชิญผู้ใหญ่ให้นั่งแทน หนิงเซียงยังคงเดินไปหมายจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม แต่ก็ถูกเจินฮุ่ยหมิงปรามเอาไว้เสียก่อน
"หนิงเซียง...ตรงนั้นที่ของท่านพี่ลี่หลัว ที่ของเจ้าอยู่ทางนั้น" เขาว่าพลางผายมือไปที่เก้าอี้ตัวท้ายสุดของโต๊ะ
"ข้าเพิ่งจะสั่งสอนไปเมื่อครู่ เพียงพริบตาเดียวนางก็ลืมเสียแล้ว" เจินลี่หลัวพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
"ข้า..."
"เชิญนั่งเถิด อาหารจะเย็นเสียหมดแล้ว" ไม่ทันที่หนิงเซียงจะได้เอ่ยปากพูดอะไร เจินฮุ่ยหมิงก็แทรกขึ้นเสียก่อน
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่าย และอบอุ่นสมกับเป็นการทานมื้อเย็นกับครอบครัว จะมีก็แค่หนิงเซียงที่จะหายไปจากวงสนทนาอยู่บ่อยๆ เจินลี่หมินเป็นอนุของฮ่องเต้องค์ก่อน แต่เพราะเคยเป็นนางในรับใช้มเหสีจึงทำให้ผู้เป็นนายโกรธมาก ที่ถูกแบ่งความรักไป ทั้งนางยังมีบุตรกับฮ่องเต้ถึงสองคน
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ถูกกีดกันจากพระมเหสีมิให้ใช้ราชสกุลร่วมกับนาง ทั้งยังไม่ยอมรับเด็กทั้งสองให้เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ฮ่องเต้ก็มิได้ใจร้ายขนาดจะยอมปล่อยให้เลือดเนื้อเชื้อไขตกระกำลำบากจนเกินไป เขาได้มอบทรัพย์สมบัติ และประทานยศให้แก่เจินอี้หานเพื่อไว้ใช้ดูแลบุตรทั้งสองของเขา
