บทที่ 8 8
“เราไม่ได้ทะเลาะกัน หงส์เขามาหาฉันพอจะกลับรถก็สตาร์ทไม่ติด ฉันจะไปส่งเขาก็ไม่ให้ไปส่ง บอกว่าจะกลับเอง แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ” ธนายุทธไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวจะถูกกีดกันจากครอบครัวของคนรัก
แต่อารียาไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย เพราะเธอได้โทรคุยเรื่องนี้กับพี่สาวทุกวัน และรู้ความเคลื่อนไหวของเขามากพอในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“ฉันไม่เชื่อคำพูดของนาย แต่ฉันก็ไม่คาดคั้นเอาความจริงจากนายเหมือนกัน พี่หงส์เป็นคนจำฝังใจ ถ้านายรู้ตัวว่าทำผิดต่อเขาก็อย่ามาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเขาเลยนะ บางทีที่พี่หงส์เขาไม่ยอมฟื้นขึ้นมาอาจเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากเจอหน้านายก็ได้” พูดจบเธอก็เดินจากไปทันที
ธนายุทธทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนอย่างอ่อนแรง แผ่นหลังที่เคยยืดตรงงองุ้มลงไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก แล้วปล่อยให้น้ำตาแห่งความเสียใจร่วงรินออกมาเงียบๆ คนเดียว
......................
“หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะคุณพ่อ”
“ครับคุณพยาบาล” ไช่ถินตอบรับคำพูดของพยาบาลเบาๆ ยกมือไหว้พระพุทธรูปที่เอามาตั้งไว้ตรงข้างเตียงของลูกสาว ‘ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูกสาวของผมด้วยนะครับ’ แล้วกระซิบบอกที่ข้างหูของเธอเบาๆ ว่า “หงส์พ่อมารอรับลูกกลับบ้านทุกวันเลยนะ ลูกรีบตื่นมานะลูก” แล้วค่อยเดินออกไป
“สวัสดีคุณพ่อ” อาจารย์หมอกล่าวทักทายคุณพ่อของลูกศิษย์เมื่อเจอกันที่หน้าห้องไอซียู
“คุณหมอครับลูกสาวของผมดีขึ้นบ้างไหมครับ” สามวันแล้วที่ไช่ถินตั้งคำถามเดิมๆ กับอาจารย์หมอที่เป็นเจ้าของไข้
“หมอบอกคุณพ่อแล้วนะว่าให้ทำใจ” อาจารย์หมอยังย้ำคำตอบเดิมด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม
“ผมขอความหวังสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ยังดีครับคุณหมอ”
“ตอนนี้ยังไม่มีอาการที่ส่อแววไปในทางที่ดีขึ้นนะคุณพ่อ” เขาเก็บคำพูดที่อยากจะบอกว่าคนเจ็บอาการทรุดลงอีกเอาไว้ “คุณพ่อมาเฝ้าอยู่หน้าห้องไอซียูแบบนี้ทั้งวันไม่มีประโยชน์หรอก กลับไปพักผ่อนซะ เมื่อมีอาการคืบหน้าหมอจะรีบแจ้งให้ทราบทันที”
“ลูกสาวยังอยู่ในนั้นทั้งคนผมพักไม่ได้หรอกครับคุณหมอ” ถึงแม้จะมีเวลาที่ทางโรงพยาบาลกำหนดให้เข้าไปเยี่ยมได้ไม่นานนัก เขาก็พอใจที่จะปักหลักอยู่หน้าห้องไอซียูแบบนี้เป็นเพื่อนของลูกสาว
“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อควรทานอาหารให้เป็นเวลานะ อย่าให้อารียาเขามาต่อว่าผมว่าไม่ช่วยดูแลพ่อเขาเลยนะ”
“ครับคุณหมอ”
“แต่พยาบาลบอกหมอว่า พวกเธอไม่เห็นคุณพ่อไปไหนเลยนอกจากเข้าห้องน้ำ.. อย่าห่วงแต่ลูกจนลืมดูแลตัวเองสิคุณพ่อ คุณพ่ออายุมากแล้วนะ ถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดีจะทรุดได้ง่ายๆ นะ ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงคนอื่นๆ ในครอบครัวบ้าง ทุกคนเขาเป็นห่วงคุณพ่อมากนะ” อาจารย์หมอให้สติอย่างใจเย็น
“ขอบคุณครับคุณหมอที่ให้สติผม ผมจะลงไปกินข้าวแล้วขึ้นมาใหม่นะครับ แต่ถ้าลูกสาวผมเป็นอะไรขึ้นมาก็รีบโทรเรียกผมนะครับ”
“ได้ครับ” อาจารย์หมอรับปากแล้วเดินจากไป
..........................
อาคารพักฟื้นผู้ป่วยชาย
“สวัสดีค่ะคุณประมวล ฉันแพทย์หญิงอารียาค่ะ” อารียากล่าวทักทายและแนะนำตัวกับคนขับรถมอเตอร์ไซค์วินที่ทำให้พี่สาวของตนประสบอุบัติเหตุ
“สวัสดีครับคุณหมอ” ประมวลไม่รู้เลยว่าหญิงสาวที่ทักทายตนนั้นไม่ใช่หมอประจำโรงพยาบาลแห่งนี้ สูดปากด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ศีรษะ
“ยังปวดที่ศีรษะอยู่เหรอคะ”เธอถามจากอาการที่เห็น
“ปวดมากเลยครับคุณหมอ ช่วยฉีดยาระงับปวดที่แรงกว่านี้ให้ผมได้ไหมครับ”
“มันจะค่อยๆ ดีขึ้นนะคะ อดทนนิดหนึ่ง” หญิงสาวทิ้งระยะการพูด ใช้สายตายากจะคาดเดามองคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียง “คุณประมวลทราบไหมคะ ว่าผู้หญิงที่ซ้อนรถคุณประมวลอาการเธอหนักกว่าคุณมาก”
ใบหน้าที่ถูกความเจ็บปวดเล่นงานเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นยิ่งกว่าเดิม เม้มปากเข้าหากันอย่างลืมตัวขณะที่สายตาเหม่อลอยไปถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น
“คืนนั้นผมไม่น่ารับเธอเลย เพราะผมก็กำลังจะเลิกพอดี แต่ผมเห็นเธอกำลังทะเลาะกับแฟนของเธอ ผมกลัวว่าเขาจะทำร้ายเธอก็เลยตัดสินใจเข้าไปรับเธอ.. ถ้ารู้ว่ารับแล้วเป็นแบบนี้ ผมยอมให้เธอทะเลาะกับเขาต่อดีกว่า” ประมวลกล่าวอย่างรู้สึกผิด “แล้วตอนนี้อาการของน้องคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ”
“มีโอกาสรอดแค่ห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นค่ะ”
มือใหญ่กร้านดำที่มีบาดแผลถลอกอยู่หลายส่วนยกขึ้นจรดหน้าผาก
“ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง ขอให้อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยปกป้องคุ้มครองให้เธอแคล้วคลาดปลอดภัยด้วยเถอะ สาธุ”
“คุณบอกว่าเธอทะเลาะกับแฟนเหรอคะ” อารียาดึงเขากลับเข้าประเด็นที่ทำให้เธอต้องมายืนอยู่ตรงนี้
“ครับคุณหมอ”
“บอกหมอได้ไหมคะว่าพวกเขาทะเลาะเรื่องอะไรกัน.. ผู้หญิงคนนั้นคือพี่สาวของหมอเองค่ะ” บอกความจริงเมื่อถูกมองด้วยสายตาสงสัย “ส่วนผู้ชายคนนั้นคือคนที่พี่สาวของหมอจะแต่งงานด้วยเร็วๆ นี้ แต่ก็มาเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน”
“ผมได้ยินพวกเขาทะเลาะกันเรื่องแต่งงานนี่แหละครับ ผู้ชายบอกว่าจะไม่ยกเลิกงานแต่งงานเด็ดขาด ผู้หญิงก็เลยบอกว่ายอมตายดีกว่าต้องแต่งงานกับเขาครับคุณหมอ”
หลังจากฟังคำบอกเล่า จิตใจที่ห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงยิ่งกว่าเดิม เพราะพี่สาวของตนไม่ได้บอบช้ำเพียงร่างกาย แต่จิตใจก็บอบช้ำอย่างหนักไม่ต่างกัน
“ได้ยินแค่นี้เหรอคะ”
“ก็ไม่มากไปกว่านี้เท่าไหร่หรอกครับ พวกเขาน่าจะทะเลาะกันมาก่อนแล้ว เพราะผมเห็นพวกเขาเดินหน้าตาเคร่งเครียดออกมาจากหอพัก แล้วผู้หญิงก็ขึ้นไปสตาร์ทรถแต่รถสตาร์ทไม่ติด ก็เลยเรียกผมให้ไปส่งที่หน้าโรงเรียนนายร้อยครับ” ประมวลมองคุณหมอสาวที่ดวงตาเริ่มแดงด้วยความสงสาร “ผู้ชายคนนั้น..”
“เขาทำไมเหรอคะ” เธอเห็นความลังเลในแววตาคู่นั้นของเขา จึงถามออกไปเพราะเขาทำท่าจะไม่ยอมพูดต่อ
