บทที่ 7 ทวงแค้น : 7

หมับ!

ตุบ!

"โอ้ย!"

เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังลั่น เฟิงซูเหยาที่ถูกขวางทางมิได้ล้มตึงลงตามที่ใจคนกลั่นแกล้งปรารถนา หากแต่เป็นเจินเม่ยที่ถูกเฟิงซูเหยาแสร้งเสียหลักแล้วผลักจนล้มลงไปกองที่พื้นแทน

"คุณหนู!"

"เม่ยเอ๋อร์"

เสียงผู้มาสมทบทั้งสองคนต่างเรียกหาคนของตนเอง

เจินซู่ปรี่เข้าไปช่วยพยุงบุตรสาวลุกขึ้นจากพื้นแข็ง ๆ แถมเย็นยะเยือก ส่วนอาถังเข้าไปจับตามเนื้อตัวคุณหนูสามของนางว่าบาดเจ็บส่วนใดหรือไม่อย่างเป็นห่วง

"เจ้ากล้าแกล้งข้า!"

ทันทีที่ถูกมารดาช่วยขึ้นมาจากพื้น มือเรียวกรีดนิ้วชี้หน้าน้องสาวต่างมารดาด้วยความเกรี้ยวกราด

"ข้าเปล่าแกล้งท่าน เมื่อครู่ข้าเห็นเหมือนมีเท้าของสัตว์โผล่ออกมาเลยตกใจ ใครจะรู้ว่านั่นคือพี่รองที่แอบอยู่ตรงหัวมุม"

เฟิงซูเหยาแกล้งหลบตาในใจกลั้นขำหลังเฉไฉเสร็จ

"เจ้าหาว่าเท้าอันเรียวสวยของข้าคือเท้าของสัตว์งั้นรึ!"

เจินเม่ยสั่นไปทั้งตัวอย่างควบคุมโทสะมิได้

นางทั้งกระทืบเท้าทั้งกรีดร้องจนคนที่อยู่บริเวณนั้นต้องยกมืออุดหู

"ข้าเห็นว่าเป็นเท้าของสัตว์จริง ๆ นะเจ้าค่ะ"

ยิ่งตอบโต้ ซูเหยายิ่งรู้สึกสะใจ

ความทรงจำของฟ่างเซียนเซียนที่ผุดขึ้นมาให้นางเห็นเรือนลาง บ่งบอกว่าสองแม่ลูกนี้ทำเลวทรามกับเจ้าของร่างที่นางอยู่ตอนนี้มากเพียงไหน แผลเป็นที่ติดอยู่บนร่างกายนี้เป็นเครื่องยืนยันชิ้นดีว่าฟ่างเซียนเซียนผู้นั้นถูกทุบตีทรมานอย่างน่าเวทนายิ่ง

"เจ้าบอกว่าเห็นเป็นเท้าสัตว์ สัตว์ชนิดใดกันที่สวมใส่รองเท้าปักลวดลายสวยงามเช่นนี้!"

เจินซู่เค้นเอาความจากลูกเลี้ยงที่วันนี้มาแปลกพิกล สายตาที่นางจ้องทั้งสองคนช่างแตกต่างจากฟ่างเซียนเซียนก่อนจะสิ้นใจราวคนละคน

นางผู้นั้นรึจะกล้าสู้สายตากับสองแม่ลูกนี้ แค่ได้ยินเสียงเจินเม่ย ฟ่างเซียนเซียนคนเดิมก็ตัวสั่นน้ำตาเล็ดแล้ว

"ฮูหยินรองอยากรู้หรือเจ้าคะว่าเมื่อสักครู่ข้าเห็นเท้าของสัตว์ใด"

เสียงกวนโทสะนั้นยิ่งทำให้คนถูกยั่วโมโหเลือดลมขึ้นหน้า อยากจะลากซูเหยามาลงไม้ลงมือให้หายแค้นเช่นทุกครั้ง

คราวก่อนในงานเลี้ยงเรื่องที่นางใส่สีโปรดของเจินซู่นางก็ยังมิได้จัดการเอาความ ทว่าเวลาสบตากับสายตารัตติกาลคู่นั้นแล้ว ทั้งเจินซู่และเจินเม่ยกลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงข้างในทรวง สัญชาตญาณบางอย่างบอกพวกนางว่าหากรังแกคนตรงหน้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

"งั้นเซียนเอ๋อร์เฉลยเลยแล้วกัน เพราะสมองที่ใหญ่โตของพวกท่านคงนึกไม่ออก"

สองแม่ลูกยังคงกอดกันเกรียวไม่มีใครเอะใจว่าซูเหยาหลอกด่าพวกนางว่าสมองกลวง

"เท้าของสัตว์ที่เซียนเอ๋อร์เห็นคือเท้าของงูเจ้าค่ะ เป็นงูพิษที่ชอบแว้งกัดคนกันเอง"

พูดจบซูเหยาก็หันหลังเดินกลับเรือนหลานฮวาพร้อมอาถังสาวรับใช้อย่างไม่รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้กับสองแม่ลูกคู่นี้

"งู... ท่านแม่ งูมีขาด้วยหรือเจ้าคะ"

เจินเม่ยเอ่ยถามมารดาด้วยเสียงใคร่สงสัย

"โอ้ย! เจ้าสมองช้าตั้งแต่เมื่อใดกัน นางหลอกด่าพวกเราว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ!"

เจินซู่ฟึดฟัดด้วยความโมโหที่ถูกหลอกด่าซึ่ง ๆ หน้า

การตื่นมาของฟ่างเซียนเซียนในครั้งนี้แปลกไปอย่างมาก ทั้งวาจาสามหาวขึ้นหลายเท่า ไหนเลยจะแววตาที่ดุดันมิเกรงกลัวสิ่งใดคู่นั้นก็เปลี่ยนไปตาม แถมชอบทำอะไรที่ไม่เคยกล้าทำอย่างเช่นสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงฉูดฉาดสีโปรดของเจินซู่เดินรอบจวนนั่นอีก

"กรี๊ด!!"

เจินเม่ยเหมือนเพิ่งได้สติ นางกรีดร้องออกมาจนแทบจะดังไกลเป็นพันลี้

"ฟ่างเซียนเซียน! เจ้าจะต้องถูกข้าเอาคืนอย่างสาสม!"

เจินเม่ยกระทืบเท้าระบายอารมณ์ ค่อย ๆ เดินอย่างทุลักทุเลลูบบั้นท้ายที่ล้มกระแทกพื้นตามมารดากลับเรือนพักตนไป

"คุณหนูทำได้เยี่ยงไรเจ้าคะ"

หลังจากกลับถึงห้องนอนแล้ว อาถังถามคุณหนูนางถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

"ทำอะไร"

ซูเหยาหยิบถ้วยน้ำชาที่สาวรับใช้รินส่งให้ขึ้นมาจิบแก้กระหาย

"ก็ที่คุณหนูต่อปากต่อคำกับฮูหยินรองและคุณหนูเจินเม่ยไงเจ้าคะ"

รอยยิ้มบาง ๆ ยกขึ้นตรงมุมปากพลางเอ่ย

"เมื่อก่อนข้าคงดูอ่อนแอมากสินะ"

ฟ่างเซียนเซียนหนอฟ่างเซียนเซียน เจ้าเกิดมาในตระกูลร่ำรวย ได้รับไออุ่นจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่เหตุใดถึงได้โชคร้ายที่ต้องอยู่ร่วมชายคากับมนุษย์โสโครกจิตใจสกปรกหยาบช้ากว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างสองแม่ลูกนั่น

"เหตุใดคุณหนูต้องดูถูกตนเองด้วยเจ้าคะ ในสายตาของบ่าว คุณหนูมิได้อ่อนแอเลย เพียงแค่ท่านจิตใจดีมากจนเกินไปจนผู้อื่นใช้ประโยชน์จากตรงนั้นย้อนทำร้ายตัวท่านเอง"

อาถังพรั่งพรูทุกอย่างออกมาจากใจ

นางอยู่รับใช้ข้างกายฟ่างเซียนเซียนตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ กินนอนด้วยกันตั้งแต่ฟ่าเซียนเซียนยังเด็กย่อมรู้จิตใจคุณหนูของนางดีว่าจิตใจดีมีเมตตาเช่นไรบ้าง

"เจ้าไม่ต้องห่วง ต่อไปนี้ข้ามิใช่ฟ่างเซียนเซียนคุณหนูอ่อนแอผู้นั้นของเจ้าอีกต่อไป"

บทก่อนหน้า
บทถัดไป