บทที่ 10 เข้าเมือง

เช้าวันใหม่หลังจากกินมื้อเช้าแล้วครอบครัวหยางสายรองเข้าเมืองโดยอาศัยเกวียนของหัวหน้าหมู่บ้านที่จะเดินทางเข้าเมืองเพื่อนำหนังสือแยกบ้านไปยื่นให้กับทางการทำการลงบันทึก และหยางเทียนฉีเองก็ต้องยื่นขอทะเบียนบ้านใหม่และแจ้งย้ายที่อยู่ไปในเสียคราวเดียวกัน

“เทียนฉีเจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะพาลูกเมียไปอยู่ที่ชายป่าหมอกทมิฬ”

“ข้าคิดดีแล้วขอรับท่านลุงเมิ่ง มันอาจจะดีกว่าอยู่ที่นี่ขอรับ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้จะคิดทำอะไรอีก ที่ผ่านมาข้าทนมาพอแล้วขอรับ  ทนแบกรับคำว่ากตัญญูเอาไว้บนบ่าจนลูกเมียต้องพลอยมาลำบากไปด้วย”

“เจ้าคิดได้ก็ดีแล้วแต่ชายป่าหมอกทมิฬอันตรายมากนะ ข้ากลัวว่าสัตว์ป่าจะลงมาแล้วพวกเจ้าจะเป็นอันตราย”

“ข้าคิดว่าจะทำกำแพงบ้านให้สูงหน่อยขอรับ”

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าก็เอาใจช่วยและดีใจด้วยที่เจ้าหลุดพ้นจากตรงนี้ไปได้เสียที”

“ขอรับ ขอบคุณท่านมาก”

“พวกเจ้าพี่น้องอย่าได้เอาลุงใหญ่ของเจ้ามาเป็นเยี่ยงอย่างรู้หรือไม่ พี่น้องกันย่อมต้องรักใครปรองดองกัน”

“ขอรับ ท่านลุงเมิ่ง”

“เจ้าค่ะ ท่านลุงเมิ่ง”

“ถึงพวกเจ้าจะย้ายไปแล้วหากมีอะไรให้ข้าช่วยก็มาบอกกับข้าได้ ทุกเมื่อนะ หากมีอะไรที่ข้าช่วยได้ข้าเต็มใจช่วย”

“ขอรับ พวกข้าจะจดจำเอาไว้ หากวันข้างหน้าท่านลุงเมิ่งต้องการความช่วยเหลือสามารถบอกกับพวกข้าได้ตลอดเวลาขอรับ”

“ขอบใจพวกเจ้าล่วงหน้าด้วย แล้วนั่นเจ้าลิงทโมนสองคนนั้น ไม่สงสารท่านแม่เจ้ารึถึงได้นั่งตักท่านแม่ของเจ้าเสียทีเดียวสองคน” เมิ่งจื้อจวินหันไปเห็นฝาแฝดที่นั่งอยู่บนตักของฉีหลิน

“ท่านแม่บอกว่าไม่หนักของรับท่านปู่ทวด” หยางหนิงเฉิง

“บ๊ะ เจ้าเด็กนี่ แม่เจ้าบอกไม่หนักเจ้าก็คิดว่าไม่หนักรึ”

“เอ๋ แล้วท่านแม่หนักหรือไม่ขอรับ ถ้าท่านแม่หนักพวกข้าไปนั่ง กับท่านปู่ก็ได้ขอรับ เอาไว้ท่านพ่อหายดีเมื่อไหร่ค่อยมานั่งตักท่านพ่อ” หยางหนิงเจี้ยน

“อ่อ พอพ่อพวกเจ้าหายดีแล้ว ปู่เช่นข้าก็ไม่มีความหมายยังงั้นรึ”

“ไม่ใช่สักหน่อย ท่านปู่ย่อมสำคัญอยู่แล้วขอรับ” หยางหนิงเฉิง

“เหอะทำมาเป็นพูดดีไปเถอะ” หยางเทียนฉีแกล้งต่อว่าหลานชาย

“ท่านพี่ดื่มน้ำเสียหน่อย ใกล้จะถึงแล้วอดทนเอาไว้นะเจ้าคะ”   หวังฉีหลินที่เห็นสามีของนางสีหน้าไม่ค่อยดีนางจึงเอาน้ำที่ผสมกับน้ำพุวิญญาณในมิติจากกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาด้วยออกมาให้สามีของนางดื่ม

“ขอบใจเจ้ามากหลินเอ๋อร์ ไม่ต้องเป็นห่วงนะพี่ไม่ได้เป็นอะไร     แค่เวียนหัวเท่านั้นเอง”

“ถ้าเช่นนั้นพอถึงตัวเมืองแล้วข้าจะไปส่งพวกเจ้าที่โรงหมอก่อนจากนั้นข้าค่อยไปที่ว่าการเมืองเพื่อจัดการเรื่องของพวกเจ้าให้เสร็จ”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านลุงเมิ่งที่ให้การช่วยเหลือ” ฉีหลิน

“ไม่เป็นไรไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างเฟยเทียนเองก็เป็นสหาย ของลูกชายข้าไม่ต้องคิดมากไปหรอก”

ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 เค่อก็มาถึงตัวเมือง เมิ่งจื้อจวินบังคับเกวียนวัวมุ่งหน้าไปที่โรงหมอทันที เมื่อส่งคนป่วยถึงมือหมอแล้วเขาและหยางเทียนฉีจึงได้มุ่งหน้าไปที่ทำการเมืองทันที เพื่อจัดการเรื่องแยกบ้านและการขอทะเบียนบ้านรวมถึงแจ้งย้ายที่อยู่ไปเสียในคราวเดียวกัน

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วเมิ่งจื้อจวินจึงได้เดินทางกลับหมู่บ้านทันที ส่วนพ่อลูกตระกูลหยางพวกเขาจะเช่าเกวียนในเมืองไปส่ง  ตอนกลับหมู่บ้าน

“ท่านหมอสามีของข้าสามารถรักษาได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ย่อมได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องใช้เวลามากหน่อยเพราะ พวกเจ้าไม่ได้ทำการรักษาตั้งแต่ทีแรก ทำไมถึงเพิ่งพาเขามาหาหมอล่ะ”

“พอดีว่าที่บ้านของพวกเราเกิดเรื่องขึ้นน่ะเจ้าค่ะ”

“พวกเจ้าวางใจเถอะหากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและเอาใจใส่  คนป่วยย่อมหายดีแน่นอน พวกเจ้าจะให้คนป่วยอยู่รักษาตัวที่นี่หรือว่าจะกลับไปรักษาตัวที่บ้าน แต่ถ้าอยู่ที่นี่จะต้องจ่ายค่าดูแลและค่าอาหารเพิ่ม   10 ตำลึงต่อเดือน”

“อยู่รักษาที่นี่เจ้าค่ะ แล้วพวกข้าสามารถมาเยี่ยมได้ทุกวันหรือไม่ เจ้าคะ”

“ย่อมได้แน่นอนอยู่แล้วหรือหากมีใครจะอยู่เฝ้าก็ต้องจ่ายค่าที่พักเพิ่ม อีก 5 ตำลึงต่อเดือน”

“หลินเอ๋อร์ ไม่ต้องมีใครมาอยู่เฝ้าพี่หรอก พวกเรายังมีเรื่องอีกมากต้องทำ จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง น้องค่อยมาเยี่ยมพี่เป็นบางครั้งก็พอ เรื่องที่บ้านพี่ฝากเจ้าด้วย พี่จะรีบรักษาตัวเองให้หายดี เจ้าอย่ากังวลเลยนะ”

“ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามนี้เจ้าค่ะ ส่วนค่ารักษาล่ะเจ้าคะ ท่านหมอ”

“ค่ารักษาเบื้องต้นเท่าไหร่หรือเจ้าคะ”

“ค่ายาและการรักษาเบื้องต้น 40 ตำลึง และค่าดูแลและค่าอาหารอีก 10 ตำลึงเป็นเงินทั้งหมด 50 ตำลึง”

“นี่ขอรับ 50 ตำลึงเงิน หลังจากนี้ต้องรบกวนท่านหมอแล้ว”

“ไม่เป็นไร ย่อมเป็นหน้าที่ของหมออย่างข้าอยู่แล้ว”

“ท่านพี่ ข้ากับลูกและทุกคนกลับก่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”

“อืม ดูแลตัวเองด้วย ท่านพ่อท่านแม่ข้าฝากลูกเมียของข้าด้วยนะขอรับ”

“ไม่ต้องห่วงทำใจให้สบายเถอะ รักษาตัวเองให้ดี”

หลังจากส่งสามีให้อยู่กับหมอแล้วฉีหลินถามพ่อสามีว่าจะขายสมุนไพรได้ที่ไหน หยางเทียนฉีจึงพาลูกสะใภ้มาขายสมุนไพรที่โถงสมุนไพร  ที่ใหญ่ที่สุดและให้ราคายุติธรรมที่สุด

“ท่านพ่อเจ้าคะ เราจะขายสมุนไพรที่ไหนเจ้าคะ ที่ให้ราคายุติธรรมและไม่เอาเปรียบพวกเรา”

“ที่โถงสมุนไพรที่นั่นให้ราคาดีที่สุดและไม่เคยเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านเลยสักครั้ง”

“เช่นนั้นก็ไปที่โถงสมุนไพรเถอะเจ้าค่ะ เราจะได้รีบกลับขากลับยังต้องแวะที่หมู่บ้านป่าหมอกเพื่อแจ้งกับหัวหน้าหมู่บ้านให้ทราบว่าเราจะย้ายเข้าไปอยู่ในที่ดินของท่านแม่จะได้ปรึกษากับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องจ้างคนมาล้อมรั้วและแผ้วถางที่ดินด้วยเจ้าค่ะ”

“ได้ ๆ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ เฉิงเอ๋อร์มาให้ปู่อุ้ม ส่วนเจี้ยนเอ๋อร์ไปขี่หลังท่านอารองของเจ้า”

“ขอรับท่านปู่”

“ดีมากเป็นเด็กดี เดี๋ยวตอนกลับแม่จะซื้อขนมให้นะ”

“ขอบคุณขอรับท่านแม่ ข้ารักท่านแม่ที่สุด”

“ข้าก็รักท่านแม่ที่สุดด้วยคน”

ทั้งหมดมุ่งหน้าสู่โถงสมุนไพรทันที เมื่อมาถึงหยางเทียนฉีและ   หวังฉีหลินเข้าไปขายสมุนไพรส่วนนางฟางพาลูกและหลานไปรอที่ร้านน้ำชา ที่อยู่ใกล้ ๆ โถงสมุนไพร

เมื่อมาถึงมีพนักงานของโถงยาได้ให้การต้อนรับอย่างดี ทุกคนที่ทำงานที่นี่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ชาวบ้านที่นำสมุนไพรมาขายจึง    ไม่เคยได้รับการปฏิบัติแย่ ๆ เลยสักครั้ง

“สวัสดีขอรับ ไม่ทราบว่าท่านมาซื้อหรือมาขายสมุนไพรขอรับ”

“เรามีสมุนไพรมาขาย ขอพบหลงจู๊ได้หรือไม่”

“ได้ขอรับ เชิญนายท่านด้านนี้เลยขอรับ นายท่านนั่งรอสักครู่นะขอรับข้าจะไปเรียนหลงจู๊ให้”

ทั้งสองคนนั่งรอไม่นานหลงจู๊ก็มาถึง “คารวะนายท่าน เห็นเด็กไปรายงานข้าว่าท่านมีสมุนไพรมาขายหรือขอรับ ไม่ทราบว่าเป็นสมุนไพรชนิดไหนขอรับ”

“คารวะหลงจู๊ขอรับ”

“คารวะหลงจู๊เจ้าค่ะ”

“ตามสบายเถอะ ข้าขอดูสมุนไพรเลยก็แล้วกันจะได้ทำการประเมินราคา”

“นี่เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าหลงจู๊รับซื้อหรือไม่”

“นี่.. นะนี่.. มัน หะ เห็ดหละ.. หลินจือดำ ถะ..แถมมีอายุ 100 ปี   โอ้สวรรค์ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ ใครก็ได้ช่วยหยิกข้าที” ตอนนี้หลงจู๊  ตกตะลึงครองสติตัวเองเอาไว้แทบไม่ได้

“ท่านหลงจู๊เจ้าคะท่านไม่ได้ตาฝาดเจ้าค่ะ ตกลงท่านจะซื้อหรือไม่เจ้าคะ”

“ซื้อสิ ซื้อข้าซื้อแม่หนูใจเย็น ๆ เจ้านั่งลงก่อน”

“เท่าไหร่เจ้าคะ?”

“เห็ดหลินจือ 100 ปีดอกนี้ ข้าให้ดอกละ 2,500 ตำลึงทอง        เจ้าพอใจหรือไม่”

“พอใจเจ้าค่ะ ข้ามีทั้งหมด 3 ดอก ข้าขอ 8,000 ตำลึงทองท่านตกลงหรือไม่”

“ได้ ๆ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าหากเจ้ามีสมุนไพรล้ำค่าเจ้าต้องนำมาขายที่นี่ก่อน”

“ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าขอความกรุณาให้ท่านช่วยปิดเป็นความลับด้วย ครอบครัวของข้าแค่พรานป่าตัวเล็กตัวน้อยไม่อาจต่อกรกับใครได้”

“ได้ ๆ เจ้าวางใจได้เลย เจ้ารอสักครู่ข้าจะไปนำเงินมาให้ และนี่  ป้ายหยกของข้าหากว่าเจ้ามาขายสมุนไพรอีกในครั้งหน้าเจ้าเอาป้ายหยกนี้ ให้พนักงานด้านหน้าดูได้แล้วจะมีคนพาเจ้ามาพบข้าเอง”

“ได้เจ้าค่ะขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นข้ากับท่านพ่อต้องขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”

“ได้ ๆ ไว้หาสมุนไพรมาขายให้ข้าอีกนะ นี่เงินของเจ้า เป็นตั๋วเงิน  ใบละ 1,000 ตำลึงทองทั้งหมด 7 ใบ และนี่ 100 ตำลึงทองทั้งหมด 10 ใบ เจ้าตรวจดูก่อนถูกต้องหรือไม่”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเชื่อใจท่าน ข้าเชื่อว่าท่านย่อมค้าขายด้วยความซื่อสัตย์สุจริต”

หลังจากที่ฉีหลินรับตั๋วเงินจากหลงจู๊มาแล้วก็เดินนำหน้าพ่อสามี    ที่อยู่ในสภาพอาการมึนงง เมื่อวานเขายังเป็นคนที่กินไม่อิ่มเงินไม่มีแต่วันนี้ลูกสะใภ้ของเขากลับหาเงินมาได้มากมาย นี่มันความจริงหรือความฝันกันแน่

“ท่านพ่อ ท่านพ๊อออออออออ ท่านพ่อเจ้าคะ”

“หือ เจ้าตะโกนเรียกพ่อทำไมเสียงดังขนาดนี้”

“ก็ข้าเห็นท่านพ่อเดินเหม่อลอยแทบจะชนชาวบ้านคนอื่นอยู่แล้ว ท่านพ่อเป็นอะไรไปเจ้าคะ หรือไม่สบายตรงไหน ไปหาหมอดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้ไปตามท่านแม่”

“ไม่ต้อง ๆ พ่อไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่พ่อไม่แน่ใจว่านี่มันคือ    ความจริงหรือความฝันกันแน่”

“ความจริงสิเจ้าคะ ตอนนี้เรารีบไปหาท่านแม่ก่อนเถอะเจ้าค่ะ จะได้เช่าเกวียนกลับหมู่บ้านและแวะไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านป่าหมอกด้วย”

“ได้ ไปกันเถอะ”

ฉีหลินและพ่อสามีเดินมาที่ร้านน้ำชาที่มีแม่สามีและคนอื่น ๆ รออยู่ก่อนแล้ว นางฟางที่เห็นสีหน้าของสามีไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงได้ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

“ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะเกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ เหตุใด     สีหน้าของท่านดูไม่ค่อยดีเลยเจ้าคะ หรือว่าท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือ เจ้าคะกลับไปให้หมอตรวจดูสักหน่อยดีหรือไม่”

“ไม่ต้อง ๆ พี่ไม่เป็นไร พี่แค่ตกใจเท่านั้นแหละไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก พี่แค่ไม่ชินน่ะ”

“ไม่ชิน? ไม่ชินเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

“ไม่มีอะไร ๆ เอาไว้กลับไปคุยกันที่บ้านตอนนี้พวกเรารีบไปกัน    ได้แล้วยังต้องแวะที่หมู่บ้านป่าหมอกอีกนะ”

หยางเทียนฉีแยกตัวออกไปเช่าเกวียนโดยที่เขาให้ภรรยาพาลูก ๆ ไปซื้อของก่อนและเขาจะไปรับกลับมารับที่ร้านขายข้าวสาร เมื่อซื้อของที่จำเป็นครบแล้วครอบครัวหยางสายรองก็นั่งเกวียนกลับหมู่บ้านทันที

เมื่อเกวียนวัววิ่งมาถึงหมู่บ้านป่าหมอก หยางเทียนฉีได้ให้เกวียน   มุ่งหน้าไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อนำทะเบียนบ้านที่เขาไปขอมาวันนี้มาแจ้งให้หัวหน้าหมู่บ้านป่าหมอกรับทราบเอาไว้และแจ้งเรื่องการย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ด้วย

หยางเทียนฉียังได้ขอให้หัวหน้าหมู่บ้านจัดหาคนงานไปแผ้วถางที่ดินที่อยู่ติดป่าหมอกโดยให้ค่าจ้างวันละ 50 อิแปะ พรุ่งนี้ตอนเช้าเขาจะมาที่นี่ อีกครั้ง ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านรับปากว่าจะจัดหาคนเอาไว้ให้

เกวียนวัววิ่งมาส่งพวกเขาจนถึงหน้าบ้านฉีหลินได้จ่ายค่าเกวียนและเพิ่มค่าเสียเวลาให้กับคนขับเกวียนเป็นเงิน 60 อิแปะเพราะครอบครัวนางมีหลายคนอีกทั้งยังเสียเวลารอพวกนางที่หมู่บ้านป่าหมอกร่วม 1 ชั่วยาม

ทำให้คนขับเกวียนดีใจเป็นอย่างมากเพราะปกติเขาหาเงินได้วันละไม่กี่สิบอิแปะเท่านั้น วันนี้ถือว่าเขาโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้เจอผู้ว่าจ้างที่ใจดี

บทก่อนหน้า
บทถัดไป