บทที่ 11 เข้าป่าหมอก

ครอบครัวหยางสายรองกลับมาถึงบ้านก็พบว่าหยางฮุ่ยเหม่ยกำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าประตูบ้าน ก่อนออกจากบ้านฉีหลินได้ใส่กุญแจเอาไว้โดยปกติแล้วหากไม่มีคนอยู่ในบ้าน

หยางฮุ่ยเหม่ยจะใช้โอกาสที่ทุกคนทำงานอยู่ในแปลงนาเข้ามาหยิบจับและฉกฉวยเอาสิ่งของที่มีในบ้านสายรองไป นางทำเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งและมีปากเสียงกันก็บ่อยครั้งแต่พี่ชายของเขาอ้างว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแค่หยิบของมาเล็กน้อยจะเป็นอะไรได้ อีกทั้งยังกล่าวหาว่าเขา   เป็นคนใจแคบอีกด้วย

ฉีหลินไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้ทุบตีคนให้หลุดมือไป ในเมื่อนางระบุเอาไว้ในสัญญาแยกบ้านชัดเจนแล้วแต่เหมือนว่าหยางฮุ่ยเหม่ยจะจำไม่ได้แบบนี้จะต้องมีการทุบตีเตือนสติกันเสียบ้าง

ยังไม่ทันที่จะได้มีใครพูดอะไรหวังฉีหลินเดินเข้าไปด้านหลังของ หยางฮุ่ยเหม่ยอย่างแผ่วเบา โดยที่ฮุ่ยเหม่ยไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าบ้านสายรองกลับมาแล้ว เพราะใจมัวแต่จดจ่อหาวิธีเข้าไปรื้อค้นของในบ้านจึงไม่รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

ฉีหลินยกเท้าขึ้นถีบไปที่ก้นของนาง จนทำให้นางที่ไม่ทันได้ระวังตัวล้มหน้าทิ่มพื้นลงไปทันที และก็ตามมาด้วยเสียง ตุ๊บ ตั๊บ ๆ อยู่เป็นระยะ   ฮุ่ยเหม่ยทำได้แค่กรีดร้องและใช้มือปัดป้องการโจมตีจากฉีหลินเท่านั้น     แต่นางไม่สามารถที่จะตอบโต้กลับได้

“ข้าก็บอกชัดเจนแล้วว่าอย่าแหย่ขาของเจ้าเข้ามาบ้านสายรอง  เจ้ายังไม่ฟังสงสัยความจำเจ้าจะหลุดหายไป ไม่เป็นไรข้าจะเตือนสติเจ้าเอง”

“กรี๊ดๆๆ นังฉีหลิน แกกล้าถีบข้าหรือ”

“ทำไมข้าจะไม่กล้า ตอนนี้พวกเราแยกบ้านกันแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเกี่ยวข้องกันอีก สัญญาแยกบ้านระบุเอาไว้ชัดเจนว่าหากพวกเจ้าแหย่ขาเข้ามาในบ้านของข้า ข้ามีสิทธิ์ทุบตีพวกเจ้าโดยที่ข้าไม่มีความผิด เพราะพวกเจ้าถือเป็นฝ่ายที่บุกรุกเข้ามาในบ้านของข้า”

“เหอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ มันยังไม่จบแค่นี้แน่” ฮุ่ยเหม่ยกล่าว    คาดโทษก่อนที่ตัวเองจะวิ่งซมซานกลับบ้าน

ในระหว่างที่ผู้ใหญ่สองคนและเด็กอีกสองคนกำลังแลกเปลี่ยนสายตากันอยู่นั้นพวกเขาสงสัยว่าทำไมลูกสะใภ้พี่สะใภ้ของตัวเองถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้

นอกจากนางจะมีความกล้าแล้วจากเดิมนางเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวานแต่ตอนนี้ทำไมนางกลายร่างเป็นอันธพาลน้อยชอบทุบตีผู้คน    ไปเสียแล้ว ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ของหยางหนิงเจี้ยนและ หยางหนิงเฉิง ดังขึ้นมาขัดความคิดของพวกเขาทั้งสี่คน

“อู๊วววว ท่านแม่เก่งมากขอรับ” เจี้ยนเอ๋อร์

“ใช่ ๆ ท่านแม่เก่งมาก โตขึ้นข้าจะเป็นเหมือนท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์

“คิก ๆ เอาไว้แม่จะสอนให้นะ ตอนนี้เข้าบ้านกันก่อนดีหรือไม่”

“ดีขอรับท่านแม่ ท่านแม่ของข้าเก่งที่สุดเลย”

ฉีหลินที่ได้รับคำชมจากลูกชายสุดที่รักทั้งสองคนก็ทำให้นางยิ้ม เต็มหน้าด้วยความภาคภูมิใจ ที่ลูกชายของนางชื่นชมนาง แต่นางกลับลืมดู  สีหน้าพ่อแม่สามีและน้องสามีว่าพวกเขามีสีหน้าเช่นไร

หยางเฟยจินมองพี่สะใภ้ของเขาอย่างแปลกใจและนับถือในความเปลี่ยนแปลงของนาง ส่วนหยางเยว่เล่อมองพี่สะใภ้ของนางด้วยความเคารพส่วนสองสามีภรรยามองลูกสะใภ้เหมือนไม่เคยเห็นมาก่อนและยังเผลอคิด ไปด้วยว่านางใช่ลูกสะใภ้ของพวกเขาจริง ๆ ใช่หรือไม่

เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วฉีหลินได้ปรึกษากับทุกคนถึงเรื่องที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ นางต้องการให้พ่อสามีไปดูแลการแผ้วถางที่ดินและนางต้องการที่ดินที่อยู่รอบ ๆ กับที่ดินของแม่สามีเลยไปจนถึงลำธารด้านหลัง หากยังไม่มีเจ้าของนางอยากให้พ่อสามีซื้อเอาไว้จะได้ล้อมรั้วไปเสียทีเดียว

“ท่านพ่อเจ้าคะพรุ่งนี้ท่านพ่อไปดูแลงานแผ้วถางที่ดินนะเจ้าคะ    มีอีกเรื่องข้าอยากได้ที่ดินที่ติดกับที่ดินของเรายาวไปจนถึงลำธารด้านหลังหากยังไม่มีเจ้าของให้ท่านพ่อซื้อเลยเจ้าค่ะ”

“ได้ พ่อจะไปถามหัวหน้าหมู่บ้านให้ แล้วเรื่องสร้างบ้านล่ะลูกสะใภ้ เจ้ามีแบบในใจอยู่หรือไม่”

“คืนนี้ข้าจะวาดแบบให้นะเจ้าคะท่านพ่อ ส่วนท่านแม่ข้าอยากให้ท่านตุ๋นน้ำแกงไปให้พี่เฟยเทียนแทนข้าหน่อยเจ้าค่ะ”

“ได้สิแล้วเจ้าไม่ไปด้วยกันกับแม่หรือ”

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าเองพรุ่งนี้จะพาน้องรองเข้าป่าเจ้าค่ะ ส่วนน้องเล็ก  ให้ดูแลหลาน ๆ ช่วยท่านแม่พรุ่งนี้เจ้าค่ะ”

“ได้ ๆ เจ้าเองก็อย่าเข้าป่าลึกให้มากนัก มันอันตรายรู้หรือไม่”

“ข้าทราบเจ้าค่ะท่านแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะระวังให้มากเจ้าค่ะ”

“เอาล่ะตกลงตามนั้นก็แล้วกัน ฮูหยินเจ้าเองก็ไปทำมื้อเย็นเถอะ ส่วนทุกคนแยกย้ายไปทำตามหน้าที่ของตัวเอง”

“ท่านปู่ ข้าล่ะ แล้วข้าล่ะต้องทำอะไรขอรับ” เฉิงเอ๋อร์รีบถามท่านปู่ออกมาทันทีเขาเองก็อยากมีส่วนช่วยเหลืองานในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน

“ข้าจะไปช่วยท่านย่าในครัว” เจี้ยนเอ๋อร์รีบออกตัวและวิ่งหายไปทางห้องครัวทันที

ส่วนหยางฮุ่ยเหม่ยที่โดนฉีหลินถูกทุบตีกลับไปนางได้แต่เจ็บใจนอกจากจะขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังต้องเสียข้าวสารอีกกำมือ เรื่องนี้นางจะไม่มีวันยอม รอไปก่อนเถอะหากนางได้แต่งงานเข้าบ้านท่านเศรษฐีเมื่อไหร่คอยดูว่านางจะทำยังไงกับคนบ้านรองกัน

แต่สิ่งที่หยางฮุ่ยเหม่ยไม่ได้รับรู้ในตอนนี้นั่นก็คือจะไม่มีงานแต่งงานของนางเกิดขึ้น เพราะเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทแยกบ้านกันของครอบครัว หยางไม่มีใครไม่รู้และเรื่องราวได้ลอยไปเข้าหูบ้านเศรษฐีซ่งจนได้ เขาจึงให้ แม่สื่อมายกเลิกการสู่ขอและจะไม่มีการหมั้นหมายเกิดขึ้น

เรื่องนี้ทำให้นางหลินผู้เป็นแม่โกรธจนเป็นลมล้มพับขึ้นมาเลยทีเดียว หลังจากนั้นมานางก็ตั้งใจหาสามีให้ลูกสาวของนางอย่างเต็มที่และในที่สุด ลูกสาวของนางได้แต่เข้าไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีในเมืองนี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง

หลังจากแยกบ้านกันแล้วหยางฮุ่ยเหอก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกเขายังไปทำงานในแปลงนากับลูกชายทั้งสองแต่ในใจกลับหาวิธีทำลายครอบครัวของน้องชายคนเดียวของตัวเองถึงแม้ว่าจะเติบโตมาด้วยกันแต่ในใจของเขารู้ดีว่าหยางเทียนฉีไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับเขา

เช้าวันต่อมานางฟางพาหลานชายทั้งสองและลูกสาวเข้าเมืองไปเยี่ยมเฟยเทียนที่โรงหมอ ส่วนหยางเทียนฉีพาลูกชายและลูกสะใภ้ไปที่หมู่บ้านป่าหมอกทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าหัวหน้าหมู่บ้านพาคนมารออยู่แล้ว

“คารวะหัวหน้าหมู่บ้านขอรับ ขออภัยที่ข้ามาช้า”

“ไม่เป็นไรพวกข้าเองก็เพิ่งมาถึง คนทั้งหมดนี้จะมาช่วยพวกเจ้า แผ้วถางที่ดิน หลังจากนั้นจะช่วยพวกเจ้าล้อมรั้วต่อ มีอะไรให้ข้าช่วยอีกหรือไม่”

“หัวหน้าหมู่บ้านขอรับที่ดินรกร้างที่ติดกับที่ดินของข้ามีเจ้าของหรือไม่ขอรับ”

“ไม่มีหรอกทำไมหรือ ที่ติดชายป่าเช่นนี้ชาวบ้านไม่กล้ามาอยู่หรอกเพราะกลัวว่าสัตว์ป่าจะออกจากป่ามาทำร้ายเอา เจ้าต้องการหรือ”

“ขอรับ ข้าอยากจะซื้อขอรับ”

“เจ้าต้องการที่ดินมาน้อยแค่ไหน เช่นนั้นก็ตามข้ากลับไปที่บ้านข้าจะให้เจ้าดูแผนที่และเลือกดูว่าเจ้าต้องการที่ตรงไหน”

“ขอรับ”

“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ากับน้องรองไปก่อนนะเจ้าคะ ทางนี้ฝากท่านพ่อด้วยนะเจ้าคะ”

“ได้ พ่อจะจัดการให้ พวกเจ้าอย่าเข้าไปในป่าลึก ป่าหมอกแห่งนี้ ไม่เหมือนป่าแถวบ้านเราเข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะท่านพ่อ”

ฉีหลินพาน้องชายเดินตรงไปยังชายป่าหัวหน้าหมู่บ้านมองตามหลังทั้งสองคนไปด้วยความกังวลเพราะทางที่ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปนั้นคือป่าหมอก ขนาดพวกเขาอยู่ที่นี่มานานยังไม่ค่อยจะมีคนกล้าเข้าไปนอกจากนายพราน ที่มีฝีมือเก่งกาจเท่านั้น แต่นี่เป็นเพียงหญิงสาวบอบบางและเด็กชายที่เพิ่งจะอายุ 10 กว่าปีเท่านั้น

“เจ้าปล่อยให้ลูกสาวกับลูกชายของเจ้าเข้าป่าหมอกไปจะดีหรือ  เจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าป่าแห่งนี้อันตรายมากแค่ไหน ทำไมยังปล่อยให้นางเข้าไปอีก”

“ข้าเองก็จนปัญญาจะห้ามนางขอรับ ลูกสะใภ้ข้าคนนี้ตั้งแต่นางได้รับบาดเจ็บและรักษาจนหายดี นิสัยของนางก็เปลี่ยนไปมากจากที่เคยเรียบร้อยอ่อนหวานก็กลายเป็นอันธพาลตัวน้อยที่ชอบทุบตีชาวบ้าน โดยเฉพาะใครที่เคยรังแกนางมาก่อน ตอนนี้นางก็จัดการเอาคืนไปเสียทุกคน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนที่นางได้รับบาดเจ็บนางไปเจออะไรมากันแน่ถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ที่ข้าแน่ใจข้าคิดว่านางสามารถเอาตัวรอดได้ขอรับ”

“เอาเถอะ ๆ ถ้าเจ้าเชื่อว่านางจะเอาตัวรอดได้ ข้าก็ไม่ว่าอะไร เช่นนั้นเราไปกันเถอะ จะได้รีบจัดการให้เรียบร้อยหากเจ้าพอใจที่ดินตรงไหนจะได้รีบจัดการให้เรียบร้อย”

“ขอรับ เชิญหัวหน้าหมู่บ้านนำทางขอรับ”

หยางเทียนฉีได้ทำการซื้อที่ดินเพิ่มอีก 100 หมู่ เป็นเงินเพียง    300 ตำลึงเท่านั้นที่ดินชายป่าแห่งนี้มีราคาหมู่ละ 3 ตำลึงเพียงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นที่ดินที่อยู่อีกฝั่งของหมู่บ้านป่าหมอกนั้นจะมีราคาที่แพงกว่านี้มากเพราะอยู่ใกล้ตัวเมืองมากกว่าอีกทั้งอีกด้านยังติดกับหุบเขาไป๋หลางเฟิ่ง ที่มีตำนานกล่าวขานกันว่าในอดีตเหล่าผู้คนที่เป็นผู้ฝึกตนได้อาศัยอยู่ใจกลางหุบเขา แห่งนั้น

ถึงตอนนี้จะมีผู้ฝึกตนอยู่จริงแต่ในแคว้นของพวกเขากลับหาได้เพียงหยิบมือเท่านั้น แต่หากเป็นแคว้นอื่นที่ตั้งอยู่ในแคว้นอื่นยังพอมีให้เห็นมากกว่าแคว้นหมิงหลงแห่งนี้

เพราะขาดแคลนทรัพยากรในการฝึกปราณแต่ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถฝึกได้ทุกคน และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพลังปราณชาวบ้านธรรมดา    แค่ทำมาหาเลี้ยงปากท้องก็ลำบากมากพอแล้วไหนเลยจะมาคิดถึงการฝึกตนได้กัน

ฉีหลินพาเฟยจินเดินเข้ามาป่าเรื่อย ๆ ป่าหมอกสมชื่อ พอเข้าป่ามาได้สักพักใหญ่ในป่าที่นางเดินเข้ามาเริ่มมองเห็นหมอกจาง ๆ เมื่อเดินต่อไปเรื่อย ๆ หมอกก็จะเริ่มหนาขึ้นทำให้ความสามารถในการมองเห็นแย่ลง   นางจึงไม่แปลกใจเลยทำไมชาวบ้านธรรมดาถึงไม่กล้าเข้าป่าหมอกมาหา ของป่า

หมอกหนาขนาดนี้ถ้าไม่หลงป่าก็แปลกแล้วแต่มีหรือว่าฉีหลินจะกลัวนางยังมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าความกลัวเสียอีก นางเพิ่งจะได้กลับมาสู่ร่างที่แท้จริงและยากจนของตัวเองเรื่องอะไรที่ไม่เคยทำนางจะทำมันทั้งหมด

“พี่สะใภ้ข้าว่าถ้าเราไม่เจออะไรก็กลับกันดีหรือไม่ขอรับ อย่าเข้าไปลึกกว่านี้เลย”

“เดินเข้าไปอีกหน่อยถ้าไม่เจออะไรแล้วเราค่อยกลับออกไปตกลงไหม พี่เองก็ลืมคิดเรามามือเปล่าแม้แต่อาวุธก็ไม่มีติดมือมาด้วย”

เบื้องบนชายชราที่ทำหน้าที่นำดวงวิญญาณของฉีหลินกลับมาตอนนี้กำลังทวงถามถึงตัวช่วยที่เหล่าเพื่อนเทพบอกว่าจะส่งลงมาช่วยนางเพื่อเป็นการชดใช้ที่ทำให้นางจากมาก่อนเวลาอันควร

“ไหนล่ะ ตัวช่วยของท่าน ทำไมยังไม่รีบส่งลงไปอีก ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเป็นโอกาสดีแล้วไม่ใช่รึไงนางเข้าป่าหมอกมาแล้ว รีบ ๆ ส่งไปได้แล้ว จะตัวอะไรก็ส่งลงไปเถอะน่า ท่านจะมาคิดมากคิดมายอะไรนักหนา”

“ข้าก็ต้องคิดมากสิเกิดข้าหยิบได้เสือแล้วส่งไปให้นางแบบนี้นางจะอยู่ในหมู่บ้านยังไง นั่นมันสัตว์ป่าดุร้ายเลยนะ”

“แล้วท่านจะส่งตัวอะไรไปเล่า ตัวที่ท่านจะส่งไปต้องดูแลปกป้องนางและครอบครัวได้ด้วยนะอีกทั้งยังต้องช่วยนางหาเงินอีกด้วย ดูเหมือนนางอยากจะยึดอาชีพเป็นพรานป่าและนักล่าสมุนไพรขายนะ ท่านช่วยรีบ ๆ คิดหน่อยได้หรือไม่ เดี๋ยวนางจะกลับออกไปเสียก่อน”

“เอาล่ะ ๆ เอาเจ้านี่ก็แล้วกัน เสี่ยวหู่เจ้าลงไปอยู่กับนางจนกว่านางจะหมดอายุไข อะไรเสี่ยวเฮยเจ้าเองก็อยากไปกับเสี่ยวหู่หรือ ได้ ๆ ไปก็ไป เอาล่ะเตรียมตัวข้าจะส่งพวกเจ้าลงไปตอนนี้ล่ะ ทนเจ็บหน่อยนะเพื่อความสมจริง”

“เดี๋ยวๆๆๆๆ หยุดๆๆ ไหนว่าจะไม่ส่งเสือไปให้นางยังไง นี่ท่านกลับจะส่งเสือขาวนี่ไปให้นางนี่นะ แถมยังมีเจ้างูดำนี่อีกด้วย”

“เอาเถอะน่าไม่มีเวลาแล้วท่านจะมาเลือกอะไรเยอะแยะ เสี่ยวเฮยสามารถหล่อเลี้ยงพลังปราณได้นะแถมยังช่วยดูแลเรื่องพืชผักได้ด้วย     ส่วนเสี่ยวหู่พยัคฆ์ขาวตัวนี้แค่ทำให้ตัวเท่าลูกเสือก็ได้แล้วไหมล่ะ ท่านจะมาบ่นอะไร หรือจะให้ข้าส่งเต่าลงไปหรือไง ท่านจะเอาตัวอะไรท่านพูดมา”

“แล้วแต่ท่านเถอะ ข้าไม่อยากพูดกับเทพอันธพาลอย่างพวกท่านแล้ว”

“ก็แค่นี้ เอาล่ะพวกเจ้าเตรียมตัวข้าจะส่งพวกเจ้าลงไปเดี๋ยวนี้”

ตุ๊บ ตุ๊บ เสียงเหมือนสิ่งของหล่นดังอยู่ข้างหน้า “เสียงอะไรหล่นนะ” ฉีหลินได้แต่ยืนมองไปในทิศทางที่ได้ยินเสียง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป