บทที่ 9 บทที่ 3 เมียที่ไม่ปรารถนา 1
ตอนอายุสิบแปดอนลถูกส่งไปเรียนต่างประเทศเพราะเป็นความตั้งใจของบิดา แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเรียนจบหนึ่งเทอมท่านก็มาจากไปด้วยโรคมะเร็งโดยที่ลูกชายคนเดียวอย่างเขาไม่ทันได้ดูใจ
อนลรีบบินกลับเมืองไทยมาร่วมงานศพท่าน ตอนนั้นคุณสกลซึ่งเป็นคนที่คุณปู่ของเขารับอุปการะและเลี้ยงดูมาในฐานะลูกชายคนหนึ่งก็ยังคงทำงานเป็นผู้จัดการปางไม้
วันแรกที่กลับมาคนงานก็ลือกันว่ามารดาเขาและคุณสกลเป็นชู้กันและที่บิดาต้องตายไม่ใช่เพราะโรคร้าย แต่เป็นเพราะคนใจร้ายต่างหาก กระนั้นคนที่เชื่อมั่นในตัวผู้ให้กำเนิดก็ยังไม่คิดจะเชื่อ ต่อเมื่อได้เห็นกับตาว่าทั้งสองแอบไปพลอดรักกันหลังศาลาวัดหัวใจของชายหนุ่มก็คล้ายกับว่าถูกควักออกมาโยนให้กากิน
‘ฉันรักเธอมานานแล้วนะสกล...เธออย่าทิ้งฉันไปจะได้ไหม’
อนลตัดสินใจเดินออกมาเพราะไม่อาจทนเห็นภาพบาดตาบาดใจ เขาเพิ่งรู้ยังเจ็บปวดเท่านี้ แล้วบิดาเขาที่ต้องเผชิญกับมันมาอย่างยาวนานท่านจะปวดร้าวสักเพียงใด
เพราะแบบนี้ใช่ไหมอาการของท่านเลยทรุดลงท่านเป็นโรคมะเร็งก็จริง แต่คนเป็นโรคนี้ใช่ว่าจะตายเร็วไปเสียทุกคน
ภรรยาของอาจารย์เขายังเอาชนะคำวินิจฉัยของหมอที่บอกว่าจะอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่เดือน
เพราะเหตุนั้นทำให้อนลไม่เชื่อเลยจนนิดเดียวว่าบิดาซึ่งเป็นคนแข็งแรงมากจะด่วนจากไปแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะตรอมใจอย่างที่คนงานบอกแล้วละก็เขาก็ยังมีท่านอยู่ข้างๆ
หลังงานศพของบิดาความสัมพันธ์ของเขากับมารดาก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อแม่เลี้ยงอัมราให้นายสกลเข้ามาดูแลกิจการทุกอย่างของครอบครัว เรียกได้ว่าท่านยอมให้ชายชู้เข้ามามีสิทธิ์ขาดในทุกๆ สิ่งทั้งที่ฝ่ายนั้นยังไม่ได้ถือทะเบียนสมรสด้วยซ้ำ
แม้ครึ่งหนึ่งของวนาวัลย์จะเป็นของอนลแล้วแต่ก็ยังอยู่ในความดูแลของมารดา เลยกลายเป็นว่าเขาต้องยินยอมให้พวกคนเลวสูบเอาผลประโยชน์อย่างไร้ข้อโต้แย้ง และที่ร้ายไปกว่านั้นอนลยังถูกบังคับให้แต่งงานกับลูกสาวของชายชู้
‘แกต้องแต่งงานกับซิน’
‘ไม่มีทาง’
เขาปฏิเสธเสียงแข็งในวันที่มารดายื่นคำขาดให้ต้องร่วมหอลงโลงกับสลิสา เขาเกลียดหญิงสาวนับตั้งแต่วันที่รู้ว่าบิดาหล่อนเป็นต้นเหตุให้บิดาของเขาต้องตาย
‘ผมจะไม่หลงกลพวกงูพิษเหมือนที่คุณปู่ คุณพ่อแล้วก็เหมือนอย่างที่แม่หลงอยู่ทุกวันนี้หรอกนะ ผมเกลียดพวกนั้น เกลียดจนไม่อยากหายใจร่วมโลกเลยด้วยซ้ำ’
‘แกเลิกเอาทุกคนมาโยงกับเรื่องนี้เสียทีจะได้ไหม คนอื่นไม่ผิดเลยแล้วทุกอย่างมันก็ไม่ใช่อย่างที่แกคิดเลย’
ได้ยินแบบนี้แล้วเขาก็อยากจะหัวเราะออกมาเสียเหลือเกิน ท่านมักจะบอกเสมอว่าหลังจากการตายของบิดาภาระทั้งหมดก็ตกลงมาบนบ่าของท่านคนเดียว
เลยมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องขอร้องให้นายสกลเข้ามาช่วยเหลือ แต่ทำไมจะต้องเป็นในฐานะพ่อใหม่ของเขาด้วยเล่า
‘แม่กล้าพูดหรือเปล่าล่ะว่าแม่ไม่ได้มีอะไรกับมัน’
จะว่าเขาเป็นลูกเลวก็ได้ที่พูดเช่นนี้กับมารดา แต่เขารับไม่ได้ที่จะต้องยอมให้ใครมาแทนที่บิดาง่ายๆ แบบนี้ แล้วนายสกลก็ไม่มีความละอายใจบ้างเลยหรืออย่างไร
เพี๊ยะ
แม่เลี้ยงอัมราตบหน้าบุตรชายด้วยอารมณ์ขึ้งโกรธ ตนไม่เคยสอนให้ลูกเป็นคนแบบนี้ แม้แต่แม่แท้ๆ ยังไม่ให้เกียรติแล้วคนอื่นเล่าเขาจะปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างไร
‘อย่ามาพูดจาแบบนี้กับฉันนะ!’
แม่เลี้ยงอัมราเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างเกรี้ยวกราด แต่อนลก็ไม่ได้ยั้งติดเลยสักนิดเขาลูบหน้าตัวเองแล้วชี้ไปยังร่างเล็กยืนอยู่ในเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นแล้วด้วยแววตาโกรธแค้น
‘แม่ตบผมเพราะปกป้องพ่อของมันงั้นหรือ?’
ตั้งแต่เกิดมามารดาไม่เคยแม้แต่จะเฆี่ยนตี แต่ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าเพราะเรื่องของคนพวกนั้น
คำว่ามันทำให้หัวใจดวงน้อยสั่นสะท้าน และไม่ทันที่สลิสาจะได้ตั้งตัวคนตัวโตก็ปราดเข้ามากระชากร่างเต็มแรง นิ้วแกร่งบีบแรงคล้ายจะทิ่มแทงเข้ามาในเนื้อหนัง
‘ซินเจ็บ ฮือๆๆ พี่โอมปล่อยซิน...’
ขอร้องเท่าไหร่คนใจดำก็ไม่ยอมฟัง ชายหนุ่มเขย่าร่างบอบบางรุนแรงเสียจนเส้นผมกระจาย แม้ว่ามารดาเขาจะเข้ามาห้ามแล้วก็ตามที
‘บอกแม่ฉันไปสิว่าไม่อยากแต่งงานน่ะซิน บอกไปว่าเธอจะไม่แต่งงานกับคนที่เกลียดเธอเหมือนกับเกลียดปรสิต’
‘ซิน...ฮึก...ซิน’
เธอพูดแบบนั้นไม่ได้เช่นเดียวกับที่จะอธิบายเหตุผลให้เขาเข้าใจด้วยรู้ดีว่าต่อให้พูดไปอย่างไรชายหนุ่มก็คงมองว่าเธอโกหก คงจริงที่ว่าถ้าคนเราเกลียดใครแล้วต่อให้คนคนนั้นทำดีแทบตายเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนความคิด
อันที่จริงสลิสาในวัยสิบแปดปีก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ก่อนหน้าเขาไม่นาน แต่เธอจะปฏิเสธคำขอของผู้มีพระคุณอย่างแม่เลี้ยงอัมราได้อย่างนั้นหรือ ทั้งชีวิตของสลิสาอุทิศให้ท่านไปหมดแล้ว
‘โอม ปล่อยน้องนะ ฉันบอกให้แกปล่อย!’
‘ไม่! แม่อย่ามายุ่ง’
อนลสะบัดมารดาจนเซออกไป ความโกรธเข้าครอบงำจนอยากจะฆ่าสลิสาให้ตายคามือ
