บทที่ 4 Chapter 4

กุ้งตัวขนาดกลางถูกนำไปผัดกับกระเทียมพริกไทย แล้วเสร็จจึงราดลงบนข้าวต้มที่ต้มข้าวได้บานสวยงามมาก แล้วตักน้ำมันจากกระทะราดตามลงไป ตกแต่งด้วยผักชี ภาษิตตักอาหารเช้าเข้าปาก เคี้ยวชิมรสชาติว่าจะผ่านหรือไม่ น้อมกับต่ายถึงกับยืนลุ้น “อร่อยมาก”

น้อมกับต่ายต่างพากันโล่งอกและยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำชมจากปากภาษิต ที่ตักอาหารเข้าปากต่อเนื่อง พัฒนากับกนกวรรณได้ยินคำชมจึงตักอาหารใส่ปากบ้าง

“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่า แกสองคนทำอาหารครั้งแรกจะอร่อยขนาดนี้ มันอร่อยมากๆ เลยนะ” กนกวรรณชมจากใจ ตักอาหารกินต่อเนื่อง

“แกสองคนมีฝีมือเหมือนกันนะเนี่ย” พัฒนาชมอีกคน

“ได้กินอาหารแปลกๆ ก็ดีนะครับคุณพ่อคุณแม่ รู้สึกตื่นเต้นยังไงไม่รู้”

“ที่ตื่นเต้นเพราะรู้ว่าเป็นฝีมือของน้อมกับต่ายไงล่ะ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่านางทั้งสองทำกับข้าวเป็นซะที่ไหน แม่ยังจำได้เลยนะว่า บอกให้น้อมไปทอดไข่ดาว มันก็ยังทอดจนไหม้เกรียม” กนกวรรณพูดติดตลก “เนี่ยยังทึ่งอยู่นะว่า ทำครั้งแรกแต่ทำไมรู้สึกเหมือนกับว่า ทำอาหารมานับร้อยครั้ง อร่อยเกินเบอร์เลย”

“ก็น้อมทำตามที่เขาบอกไงคะ ทำตามทุกขั้นตอน เครื่องปรุงเป๊ะๆ ทุกอย่างค่ะ มันก็เลยอร่อยตามสูตรค่ะคุณผู้หญิง ต้องชื่นชมสูตรค่ะ สูตรเขาเจ๋งจริง”

น้อมแก้ตัว นึกดีใจแทนพรนับพันที่ได้รับคำชมจากทั้งสาม ทว่าอีกใจก็อยากบอกความจริงไปว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนทำอาหารมื้อนี้ เพราะต้องการให้เจ้านายชมถูกคนมากกว่า แน่นอนว่าคนที่ได้รับคำชมต้องดีใจมากแน่นอน แต่ก็ต้องระงับสิ่งที่คิดไว้ เนื่องจากพรนับพันขอร้องไว้ว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

“สูตรเขาดีนะ อร่อยมากๆ เลย เหมือนลงตัวทุกอย่าง เจ้าของสูตรเปิดร้านอาหารได้สบายเลยนะ” พัฒนาเห็นด้วยเช่นกัน “ว่าแต่ก้อยไม่สบาย เป็นไงมั้ง ต้องไปหาหมอไหม”

“ป้าก้อยกินยาพาราไปแล้วค่ะ ตอนนี้หลับอยู่ ต้องรอแกตื่นถึงจะรู้ว่าแกค่อยยังชั่วไหม” น้อมตอบ

“ถ้ายังไม่หายก็ไปหาหมอนะ ก่อนไปมาเอาเงินที่ฉัน แล้วให้บุญขับรถพาไปโรงบาล”

“ค่ะคุณผู้ชาย” น้อมรับคำ จากนั้นไปจัดเตรียมชาและกาแฟมาเสิร์ฟให้เจ้านาย

พรนับพันที่แอบยืนฟังคำชมอยู่ตรงประตูห้องกินข้าวยิ้มหน้าบาน เมื่อได้ยินคำพูดและได้เห็นสีหน้าของสามพ่อแม่ลูกที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้าวต้มกุ้งพิโรธของตนอร่อย เธอยิ้มกับภาพที่เห็น ก่อนหมุนตัวเดินออกห่างประตูบานนั้น ก้าวเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน กลับไปอยู่ในโลกของเธอในห้องนอนอันเงียบเหงา

พีรภัทรเกิดอาการเซ็งอย่างหนัก เป็นอาการที่เกิดขึ้นนานแรมเดือนหรือตั้งแต่เขาแต่งงานกับพรนับพัน หญิงสาวที่ไม่ปรารถนาจะใช้ชีวิตคู่ด้วย แต่ก็ขัดพินัยกรรมของนพรุจคนเป็นปู่ไม่ได้ ตอนแรกเขาดีใจที่พินัยกรรมระบุว่า ตนจะต้องแต่งงานกับทายาทของศักดิ์ชัย เพื่อนสนิทที่รักกันมานานของนพรุจ บ้านใกล้เรือนเคียงที่เป็นเพื่อนบ้านกันมานานห้าสิบปี เพราะคิดว่าหญิงสาวที่ตนต้องแต่งงานด้วยคือ พลอยพรรณ ลูกสาวเพียงคนเดียวของคฑาเทพทายาทเพียงคนเดียวของศักดิ์ชัย ทว่าความคิดนั้นกลับไม่ใช่ คนที่เขาต้องแต่งงานด้วยคือ พรนับพัน บุตรบุญธรรมของคฑาเทพที่ถือว่า เป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลรัตนะเรือง

เมื่อเซ็งและไม่อยากเห็นหน้าพรนับพัน เขาจึงไม่กลับบ้านใช้คอนโดหรูที่ซื้อไว้เพื่อปล่อยให้เช่า หาความสุขกับบรรดาสาวๆ ที่ซื้อมา ดีกว่ากลับไปหลับนอนกับหญิงสาวที่ไม่พิศวาส สถานที่แห่งหนึ่งที่เขามาบ่อยๆ เพื่อคลายเครียดคือ ไนท์คลับรีเจนซี่

สถานบันเทิงแห่งนี้แบ่งออกเป็นสามโซน โซนแดนซ์ โซนร้านอาหารและโซนเล้าจ์ โซนที่พีรภัทรนั่งดื่มโดยมีสาวสวยคอยบริการคือโซนเล้าจ์ โซนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่ต้องการมีความเป็นส่วนตัวมาใช้บริการ อย่างเช่นพบปะลูกค้า เพื่อนนักธุรกิจหรือเพื่อนสนิทมิตรสหาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย แต่ก็มีสตรีที่มากับคู่รักหรือมากับเพื่อนมาใช้บริการเช่นกัน

พีรภัทรนั่งอยู่บนโซฟานวมบุหนังเนื้อดี ค่ำคืนนี้เขาไม่มีสาวสวยคอยนั่งเอาอกเอาใจเพราะอยากนั่งดื่มเงียบๆ คนเดียว ขณะที่เขากำลังนั่งดื่มด้วยอารมณ์เซ็งสุดใจ สตรีนางหนึ่งได้เดินมานั่งใกล้กับร่างเขา

“พี่พีคะ” พีรภัทรหันมามองหน้าต้นเสียง เขายิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าคือใคร

“พลอย มาได้ไงเนี่ย” พีรภัทรทักพลอยพรรณ หญิงสาวข้างบ้านที่เขาพอใจในรูปร่างหน้าตาและความน่ารักสดใสมาตั้งแต่เธออายุสิบหกปี ในเวลานั้นพรนับพันมีอายุสิบแปดปี ส่วนเขาอายุ ยี่สิบห้าปี

“พลอยมากับเพื่อนค่ะ” พลอยพรรณชี้ไปยังโต๊ะที่นั่งกับเพื่อนๆ ที่มีทั้งชายและหญิง “พลอยเห็นพี่พีก็เลยเข้ามาทักค่ะ แล้วนี่พี่พีมาคนเดียวหรือคะ”

“ใช่พี่มาคนเดียว พอดีเซ็งๆ เบื่อๆ ก็เลยมานั่งดื่ม นั่งฟังเพลง” เขาตอบ

“พลอยได้ข่าวว่าพี่พีไม่กลับบ้านเลยนับตั้งแต่วันที่แต่งงานกับพี่หมิว”

ที่พลอยพรรณรู้ เพราะคนใช้ทั้งสองบ้านมักพูดคุยกันเสมอ ส้มจีนนำเรื่องมาคุยให้ป้านุ้ยฟัง ป้านุ้ยจึงนำเรื่องนี้มาบอกตน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป