บทที่ 3 สาวน้อยกับมิติลับและน้ำพุวิญญาณของนาง
ความรู้สึกแรกหลังจากรู้สึกตัวคืออุณหภูมิร่างกายที่สูงมากคล้ายคนจับไข้ ร่างกายหนักอึ้งไปจนถึงศีรษะ อาการปวดหัวจี๊ดแล่นริ้วขึ้นมาตามขมับจนต้องเผลอย่นคิ้ว
เมื่อคืนนี้เธอฝันประหลาด การต้องรับบทบาทในฝันเป็นเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบที่ทางบ้านมีฐานะยากจนไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่นัก ฝันนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่นมีน้องชาย อาหารการกินก็ไม่เพียงพอแม้แต่ปากท้องเดียว มีแค่น้ำข้าวต้มใส ๆ ไม่มีเนื้อ บ้านที่นางอยู่มีไข่ไก่แต่ไม่เคยตกถึงท้อง
เทียบกับการต้องออกไปเผชิญหน้าฝูงซอมบี้เป็นสิบเป็นร้อย ฉินหลิวซีไม่แน่ใจเลยว่าอันไหนคือฝันร้ายกว่ากันกันแน่
วันวันหนึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องใช้แรงงานในบ้านร่วมกับมารดาที่ร่างกายอ่อนแอ ซักผ้าให้คนทั้งบ้าน ยามป่วยไข้กลับไม่มีใครออกเงินรักษา คิดแต่นอนพักแล้วก็หายสุดท้ายก็ตายจากไปเงียบ ๆ แค่เรื่องราวของฝันตื่นหนึ่ง ไม่นึกเลยว่ามันคือความจริง
ฉินหลิวซีนอนเหม่อหลังจากได้สติรับรู้คืนมา ที่เรียกว่าฝันนั้นแท้จริงคือความทรงจำ ตัวนางคือองค์ประกอบหนึ่งของครอบครัวเล็ก ๆ ในครอบครัวใหญ่แห่งนี้
เรื่องบ้าๆ แบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวพอ
ฉินหลิวซีไม่แน่ใจว่าการต้องฝ่าฟันโลกที่มีแต่ผีดิบเดินได้ให้มีลมหายใจต่อ กับการต่อสู้กับความยากจนและสถานการณ์ที่มีปากเสียงไม่ได้เพราะยังเป็นเด็ก อันไหนแย่หรือดีกว่ากัน เพราะถ้าให้นางตัดสินใจในความรู้สึกตอนนี้แล้ว ขอบอกเลยว่าแย่ทั้งคู่
"เฮ่อ..." เด็กหญิงวัยห้าขวบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้สึกยังตัวรุม ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าเมื่อคืนที่นางยังจำสัมผัสลำคอของตัวเองที่ร้อนอย่างกับไฟได้
เด็กหญิงค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นนั่ง พิงผนังด้านหลังให้ทรงตัวได้ ทบทวนความทรงจำทั้งสองส่วนอย่างใจเย็น
อย่างแรกที่รับรู้หลังจากตั้งสติได้คือพลังวิญญาณที่ติดตามมา ในความทรงจำบอกชัดว่าฉินหลิวซีที่เป็นเด็กน้อยวัยห้าขวบไม่มีสิ่งนี้ และพลังธาตุไม้ของนางก็ยังคงอยู่ ทว่าเหมือนระดับความรุนแรงเหมือนจะมากขึ้นจนอยู่ในระดับที่สามารถทำให้ต้นไม้เติบโตได้เพียงพริบตา
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือมิติลับของนางก็เพิ่มระดับขึ้นด้วยเช่นกัน จากห้องเก็บของเล็ก ๆ หนึ่งห้อง ขยายจนเป็นกระท่อมหนึ่งหลังที่มีพื้นที่รอบ ๆ เป็นสวนหญ้า มีน้ำพุวิญญาณที่พอดื่มไปแล้วจะรู้สึกสดชื่น พรวิเศษเหล่านี้ตามมาจากภพชาติที่แล้วโดยเพิ่มระดับพลังขึ้นอย่างน่าตกใจ
มีบางอย่างที่นางต้องพิสูจน์ ฉินหลิวซีเรียกมิติออกมาในทันที นางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนนึกภาพตัวเองเข้าไปด้านใน แล้วพบว่านางสามารถเข้าไปได้ทั้งตัว ไม่ต้องคิดแค่เอาของเข้าออกมิติเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ฉินหลิวซีเข้าออกมิติของนางได้อย่างอิสระ หากชาติก่อนนางเข้าไปได้เหมือนตอนนี้ก็คงเข้าไปหลบในนั้นได้ทันก่อนจะถูกฝูงซอมบี้รุมทึ้งแล้ว
แอบหงุดหงิดอยู่นิด ๆ แฮะ แต่เรื่องเกิดขึ้นไปแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้
"พูดก็พูดเถอะนะ ครอบครัวนี้มันอะไรกันเนี่ย" เด็กหญิงยกมือขึ้นกอดอกด้วยความไม่พอใจ
เป็นครอบครัวใหญ่เสียเปล่าแต่กลับไม่มีใครมาดูดำดูดี เด็กผู้หญิงคนนี้ไข้ขึ้นสูงจนมีสภาวะที่เลือดไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ สุดท้ายก็เสียชีวิตแต่คนในบ้านกลับไม่รู้เรื่องสักคนแม้แต่แม่ของนางเอง มารดาผู้ขลาดเขลามัวแต่ไปทำงานให้คนบ้านใหญ่ บุตรสาวตัวน้อยไม่อยู่แล้วก็ไม่ได้รู้ตัวเลย
"โห ท้าทายเหลือเกินนะ อยากล้อเล่นกับความแค้นของสาววัยสามสิบหรือยังไง!"
ฉินหลิวซีขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่นด่าโชคชะตาของตัวเอง ไม่รู้ว่าใครหรืออะไรนำพาให้นางมาที่ แต่เจ้าตัวต้นเรื่องนั้นโดนนางต่อว่าในใจไปแล้วร่วมสามร้อยคำ
"หลิวเอ๋อร์ เจ้าตื่นอยู่หรือเปล่า"
เสียงสตรีผู้หนึ่งร้องถามมาจากด้านนอกประตู น้ำเสียงของนางแหบแห้งราวกับลำคอมีแต่ผงทราย ชิวย่าหนานไม่เห็นบุตรสาวออกไปอย่างทุกทีจึงเดินเข้ามาปลุก ครอบครัวสี่คนนี้นอนห้องเดียวกัน ฉินหลิวซีมีเตียงไม้เล็ก ๆ เป็นของตัวเอง บิดามารดาของนางนอนบนเตียงดินเผาโดยมีน้องชายไปนอนด้วย
"หลิวเอ๋อร์ เจ้าหลับอยู่หรือ" เห็นนางไม่ขานตอบมารดาจึงเรียกซ้ำ
ฉินหลิวซีลุกขึ้นแล้วสวมชุดคลุมเดินออกไปเปิดประตู
"อา เจ้าตื่นแล้วนี่เอง ตื่นสายแบบวันนี้อีกไม่ได้รู้ไหม ประเดี๋ยวจะซักผ้าไม่ทันหมดวัน" เจ้าของใบหน้าซุบซีดกล่าวสั่งสอน ไม่ทันสังเกตเลยว่าสีหน้าของบุตรสาวเปลี่ยนไป แลดูเฉยชายิ่งนัก
ชิวย่าหนานแทรกตัวเข้ามาในห้อง นำน้ำและแผ่นแป้งประทังชีวิตเข้ามาวางทิ้งไว้ให้น้องชาย บุตรสาวเดินออกไปรอนอกห้องอย่างรู้งาน หลังชิวย่าหนานออกมานางก็ลงกลอนประตูไว้ป้องกันไม่ให้บุตรชายคนเล็กออกไปด้านนอกและกันไม่ให้คนอื่นมารังแก น้องชายของฉินหลิวซีร่างกายอ่อนแอและตัวเล็กมาก ดูจากอาหารการกินแล้วนางก็ไม่แปลกใจที่น้องชายของเจ้าของร่างจะมีสภาพเช่นนี้
