บทที่ 5 สาวน้อยกับความหิวโหย
ระหว่างที่กำลังใจลอยหนีความบัดซบของชีวิตก็พบว่าได้เวลากินข้าว ฉินหลิวซีมองแผ่นแป้งเล็กของตนเองด้วยความแค้นใจ เมื่อเช้านางไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากแผ่นแป้งแห้ง ๆ แข็ง ๆ รสชาติเหมือนเทียนไข
เวลาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวคือช่วงเวลาที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างและความลำเอียง
ฝั่งอาหารของบ้านใหญ่ สำรับของหลานชายทั้งสองที่มีอายุมากกว่านางสองสามปีล้วนมีไข่ไก่ ข้าวพูนจาน
ไม่มีน้ำ
ส่วนของบ้านนางมีเพียงน้ำต้มข้าวไร้รสชาติ
และแผ่นแป้งแข็ง ๆ ฉินหลิวซียกน้ำข้าวต้มให้น้องชายที่ได้รับส่วนแบ่งเพียงช้อนเดียว เพราะพวกเขาคิดว่าน้องชายนางยังเล็ก อีกทั้งยังไม่ได้ทำงาน ให้กินแค่นี้ก็เพียงพอ
เพียงพอแบบไหน อะไร ยังไง อยากจะเปิดโต๊ะให้อภิปรายเหลือเกิน เพียงพอแบบขี้ข้าหรือไง
ถ้าหากฟันของมนุษย์แข็งแรงน้อยกว่านี้ วันนี้นางคงได้เคี้ยวฟันตัวเองจนแตกแน่ เด็กหญิงนับหนึ่งถึงสิบในใจเป็นร้อยรอบ เจอสถานการณ์แบบนี้ นี่นางใจเย็นที่สุดในชีวิตแล้ว ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในร่างเด็กห้าขวบคงมีคนซี่โครงหักกันบ้าง อะไรมันจะขนาดนี้
“ชิวย่าหนาน พักนี้ทำงานอืดอาดไปหรือเปล่า”
ท่านย่าเอ่ยตำหนิมารดาของนาง พอมีคนเปิดหัวข้อสนทนา ก็มีคนรอเหยียบย่ำคอยเสริม
“จริงด้วยเจ้าค่ะท่านแม่ พักนี้น้องสะใภ้บ้านรองเราทำงานเชื่องช้าอยู่เหมือนกัน”
“เห็นไหมเล่า คนอื่นก็ว่าเชื่องช้า”
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” มารดาของนางเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จิตใจนางยอมรับสภาพนี้ไปอย่างจำยอมแล้ว
แม้ฉินหลิวซีจะรู้สึกไม่ชอบใจสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างมาก แต่นางพรวดพราดทำอะไรไปไม่ได้ หากไม่ไตร่ตรองให้ดี เรื่องนี้จะยิ่งบานปลาย นางต้องใช้เวลาวางแผนแก้ไขสถานการณ์มากกว่านี้
“สำนึกก็ดีแล้ว คราวหน้าอย่าทำอะไรชักช้าอย่างนี้อีกล่ะ”
“ไหน ๆ วันนี้ก็ซักเสื้อผ้าไปใส่เยอะแล้ว วันพรุ่งนี้ก็เปลี่ยนไปซักผ้าม่านก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีมองหน้ามารดาแล้วก็รู้สึกเหนื่อยใจ
ชิวย่าหนานทำหน้าราวกับวิญญาณออกจากร่างตลอดเวลา แววตาก็ไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย จากสิ่งแวดล้อมแล้วออกมาสภาพนี้ก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไร ที่ยังไม่สติแตกประสาทเสียไปกว่านี้ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว
ฉินหลิวซีทนกินแผ่นแป้งรสเทียนไขเพราะยังไม่อยากมีปัญหาในตอนนี้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็พบว่าบ้านหลักพูดเหน็บแนมครอบครัวของนางที่เป็นบ้านรองทุกครั้งที่มีโอกาส เด็กหญิงทำหูทวนลมแต่จำได้ทุกคำ ตราบใดที่ไม่ลงไม้ลงมือตอนนี้นางก็จะไม่สนใจไปก่อน
“ท่านแม่ ข้าขอพาน้องออกไปเล่นนะเจ้าคะ”
หลังมื้อเช้าจบลง ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปทำงาน
ชิวย่าหนานทำหน้าประหลาดใจออกมาแล้วก็รีบอนุญาต นางอยากให้ลูกเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วไปบ้าง แต่ฉินหลิวซีไม่ค่อยทำอย่างนั้นเลย
เด็กหญิงแบกน้องชายขึ้นหลัง พอมาอุ้มดูทั้งตัวอย่างนี้แล้วจึงพบว่า น้องชายของนางตัวผอมมาก แค่จับแขนยกด้วยมือเดียวน้องก็ตัวลอยจากพื้นแล้ว แบบนี้จะไปสู้คนได้อย่างไร ไม่ได้ ๆ นางต้องหาอะไรดี ๆ ให้เขากินสักหน่อย
ถึงจะฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงได้ไม่รวดเร็วอย่างใจ แต่ทำไปเรื่อย ๆ ต้องเห็นผลลัพธ์แน่
“ท่านพี่” คนที่นางแบกขี่หลังมาเอ่ยเรียกเมื่อเห็นพี่สาวพาตนขึ้นเขาเข้าป่า ไม่ใช่ทางแถวบ้านที่ว่าจะไปเล่นกัน ฉินซือหยวนไม่ได้ห่วงเล่น เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็เล่นแต่กับพี่สาวอยู่แล้ว แค่ไม่เข้าใจว่า ทำไมพาเข้ามาในป่า
“วันนี้มาเล่นหาของกันเถอะอาหยวน”
“หาของ?”
ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่นางพาน้องชายลงมือทำแทน เดินมาจนถึงริมแม่น้ำก็เห็นมีต้นไม้ให้ผลอยู่ไม่ไกล นางจึงปล่อยน้องชายลง
“อาหยวนเดินดูรอบ ๆ แถวนี้นะ ถ้าเจออะไรที่เหมือนว่าจะกินได้ให้มาตามข้า อย่าพึ่งไปจับมันเอง
ระวังสัตว์มีพิษไว้ด้วย”
ฉินซือหยวนพยักหน้าหงึก ๆ ให้พี่สาวด้วยความตื่นเต้น พ่อกับแม่ไม่ยอมให้เขาช่วยงาน เพราะว่าเขาตัวเล็กมาก ทั้งที่ฉินซือหยวนอยากช่วยงานพี่สาวบ้าง เด็กชายทำตามคำสั่งอย่างขยันขันแข็ง เขาเดินเตาะแตะไปตามทางแล้วมองหาผลไม้ต้นเตี้ยไปด้วย ขณะที่ฉินหลิวซีเดินลงไปในแม่น้ำ เด็กหญิงอาศัยเอาตัวบังมุมสายตาแล้วนำน้ำพุวิญญาณออกมาล่อปลา หมู่มัจฉาแหวกว่ายมาห้อมล้อมใกล้ ๆ นาง
ฉินหลิวซียกยิ้มอย่างชอบใจ ไม่รู้ว่าน้ำพุวิญญาณทำอะไรได้อีกบ้าง แต่แค่นี้ก็สร้างความประหลาดใจให้นางได้มากแล้ว เด็กหญิงเปิดมิติเป็นช่องเล็ก ๆ แล้วต้อนฝูงปลาเข้าไปในนั้น นางแอบส่องดูผ่านช่องเล็ก ๆ เท่าตาแมว
น้ำพุวิญญาณสร้างทางเชื่อมด้วยตัวมันเองมาถึงด้านนอก จากนั้นพวกปลาก็ว่ายเข้าไปอยู่ในบ่อน้ำพุด้วยเอง เด็กหญิงจับปลาสองตัวไว้ด้านนอกแล้วปิดประตูมิติ นางนำพวกมันมาทำอาหาร ก่อไฟรมควันเพื่อฆ่าเชื้อโรค ตั้งปลาทิ้งไว้ก็ถอดเสื้อคลุมของตนไปผึ่งลมรอแห้ง
