บทที่ 6 สาวน้อยกับการกินเนื้อมื้อแรก

“อาหยวน” นางตะโกนเรียกน้องชาย พอได้ยินเสียงพี่สาวเขาก็ยกมือขึ้นสูง ๆ ให้รู้ว่าตนเองอยู่ตรงไหน

ฉินหลิวซีเดินมาหาน้องชายกลางทาง เขาเห็นพี่สาวก่อไฟเสร็จแล้วจึงจูงมือนางมาหาจุดที่มีพวกลูกไม้ที่ตนเจอ นางลูบศีรษะน้องชาย กล่าวชมทั้งรอยยิ้ม

“เก่งมาก”

เพียงคำสั้น ๆ แต่ดวงตาคู่น้อยนั้นก็เริ่มมีประกายขึ้นมา เป็นฉินหลิวซีที่ชะงักไปเสียเอง ต้องใช้ชีวิตมาแบบไหนที่ทำให้เด็กสามขวบห้าขวบมีแววตาหม่นหมองได้ขนาดนี้ ทั้งที่เป็นวัยที่แต่งแต้มเติมสีเข้าไปได้ง่ายที่สุด

แต่ครอบครัวสกุลฉินกลับเลือกที่จะเติมสีดำให้บ้านรองอย่างพวกนาง

“อาหยวนเก่งมาก ๆ เลย ไปเก็บผลไม้ด้วยกันเถอะ”

ฉินหลิวซีให้น้องขี่คอ แม้จะทุลักทุเลไปสักหน่อย

แต่ก็เอื้อมไปถึงผลไม้บนต้นได้ พอได้ทำอะไรด้วยตัวเอง

ฉินซือหยวนก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา

นางกับน้องชายได้ลูกพลับมาสี่ผล จึงแบ่งกันคนละสองผล ฉินหลิวซีจูงมือน้องมานั่งตรงที่นางก่อไฟไว้แล้วให้เขานั่งเฝ้าปลา ส่วนตนเองก็เดินไปดูต้นไม้อีกต้นที่เห็นตอนเดินลงมาเมื่อครู่ เมื่อเดินมาใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นกล้วยหอมที่ยังโตไม่เต็มที่ ฉินหลิวซีไม่ลังเลที่จะใช้พลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของมัน

นางหันมองน้องชายเป็นระยะว่า ยังอยู่ดีหรือไม่ เพราะพลังวิญญาณยังน้อยมันจึงใช้เวลานานสักนิด รออยู่ครู่ใหญ่จนฉินซือหยวนกินลูกพลับหมดไปทั้งสองผลพี่สาวจึงค่อยเดินกลับมาหลังจากนำกล้วยหอมเข้าไปเก็บในมิติเรียบร้อยแล้ว

เด็กหญิงเดินกลับมาหาน้องชาย เขาไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่เชื่อฟังที่นางบอกเป็นอย่างดี และถึงจะเห็นเป็นเช่นนี้แต่ก็รู้ความดีจนบางเรื่องนางรู้สึกได้เลยว่า ไม่ต้องบอกหรือสั่งห้ามเขาก็ได้ นางพูดผิวเผินเพียงครั้งเดียวเขาก็เข้าใจ

กับเรื่องในวันนี้จึงไม่ได้เอ่ยย้ำ แค่พูดให้เข้าใจตรงกันเป็นพอ

“อาหยวน เรื่องที่ได้กินปลาวันนี้ห้ามบอกใครนะ”

“ท่านพ่อท่านแม่ด้วยหรือ?”

“ท่านพ่อท่านแม่ด้วย” นางยืนยัน มารดานางยังหัวอ่อนยอมคนไปหมด ขืนบอกเรื่องนี้ออกไป ถ้าถูกกดดันมาก ๆ ก็คงพูดออกไปหมด ส่วนบิดา นางยังไม่อาจตัดสินเขาได้เพราะยังไม่เคยพูดคุยจริงจัง มีเพียงตัวตนที่มองผ่านสายตาของฉินหลิวซีที่เป็นเด็กห้าขวบ หากเป็นฉินหลิวซีอีกคนหนึ่งอาจคิดต่างไป

หลังจากปลาที่รมควันไว้สุก นางก็แกะก้างแล้วแบ่งให้น้องชายคนละตัว ไม่ได้กินเนื้อมานานจนลิ้นแทบด้านชาไปถึงต่อมรับรส พอมีอะไรที่อร่อยกว่าข้าวต้มน้ำเปล่า ๆ มาให้ลิ้มลอง ทั้งนางทั้งน้องต่างก็น้ำลายไหลออกมา

“อาหยวน ช้าลงหน่อยเดี๋ยวติดคอ” นางเอ่ยปรามเมื่อเห็นน้องกินเร็วเกินไป ความสุขทะลักออกมาผ่านสีหน้าและแววตา นอกจากเนื้อปลายังได้กินน้ำหวานอีกด้วย

พอกินเข้าไปก็รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา เมื่อจัดการอาหารทั้งหมดจนรู้สึกอิ่มท้องแล้วเด็กหญิงก็อุ้มน้องชายขึ้นหลังกลับบ้าน ยังไม่มีใครกลับมาเวลานี้ ต่างคนต่างยังแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ บ้านหลักนั้นนางไม่ได้ย่างกรายเข้าไปยุ่งเกี่ยวนอกจากตอนไปกินอาหารให้พร้อมหน้า

ระหว่างที่ยังไม่มีใครกลับมา ฉินหลิวซีก็ต้มน้ำแล้วนำน้ำพุวิญญาณมาผสมใส่ในโอ่งเล็ก เอามาไว้ในห้องนอนของนางกับครอบครัว

ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันได้คิดอะไร แต่อยู่มาระยะหนึ่งจนตอนนี้ ฉินหลิวซีอดคิดไม่ได้แล้วว่าครอบครัวของนางเป็นที่ระบายความเครียดของบ้านหลัก หากคนพวกนั้นไม่ได้เหน็บแนมสักวันละสิบประโยคคงจะนอนไม่หลับ ไม่ได้หาเรื่องต่อว่าแล้วใช้งานคงจะผื่นขึ้น ออกอาการเหมือนคนกินของแสลงผิดสำแดงเข้าไป

“ฉินหลิวซี ทำไมยังไม่ไปช่วยแม่เจ้าซักผ้าอีก”

ท่านย่าบังเอิญเดินผ่านทางมาสวนกับนางเข้าก็เอ่ยทักทายอย่างอบอุ่นด้วยประโยคนี้ทันที

ก็กำลังเดินไปอยู่นี่ไง ไม่เห็นหรือ

ถ้าตอบประโยคที่คิดในใจออกไปไม่พ้นโดนไม้เรียวเป็นแน่ เผลอ ๆ อาจจะลามไปต่อว่ามารดาของนางที่ไม่สั่งสอนบุตร สถานะที่ทางบ้านเป็นรองเกือบทุกด้านแบบนี้จะงัดข้อกลับไปก็ลำบาก ฉินหลิวซีไม่รู้ต้องใจเย็นอีกนานเท่าไรจึงจะตอบโต้กลับไปได้บ้าง

“มารดาล่วงหน้าไปก่อน ข้ากำลังจะตามไปเจ้าค่ะ”

“ตื่นสายละสิ กินข้าวกินน้ำให้เปลืองแท้ ๆ”

ฉินหลิวซีคิดว่าตนเองเป็นคนใจร้อนมาตลอด แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้นางกลับคิดว่านางอาจเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดในโลกตอนนี้แล้วก็ได้

“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงขานรับทั้งใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ้มค้างไว้อย่างนั้นจนกระทั่งเดินเลยมารดาของผู้เป็นพ่อไป พอพ้นสายตาผู้ใหญ่ใบหน้าของนางก็แข็งตึง

พ้นรั้วบ้านออกมาก็นึกว่าจะเป็นอิสระแล้ว ที่ไหนได้ยังมีด่านอื่นให้นานต้องประสบพบเจอ ถ้านี่เป็นเกมฝึกความอดทนนางคง Level Max เร็วกว่าใครแน่

“ฉินหลิวซี ทำไมเจ้ายังอยู่นี่ไม่รีบไปช่วยมารดาซักผ้า คิดจะอู้งานหรือ สั่งอดข้าวเจ้าเสียดีไหม”

“ท่านแม่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะตามไป” ฉินหลิวซีตอบป้าสะใภ้อย่างใจเย็น แววตามองพวกเขาดูใสซื่อเพราะไม่อยากมีปัญหาตอนนี้ อีกอย่างตอนนี้เธอแค่เด็กห้าขวบจะไปอะไรได้

“ก็รีบไปเสียสิ มายืนต่อล้อต่อเถียงข้าอยู่ได้”

“...”

หา!? นี่เกมชีวิตฝึกความอดทนใช่ไหม!

ฉินหลิวซีตะโกนถามกับสวรรค์ครั้งที่พัน นี่คงเป็นด่านเคราะห์ของเธอก่อนจะขึ้นสวรรค์ใช่หรือไม่?

บทก่อนหน้า
บทถัดไป