บทที่ 2 chapter 2
ในดวงตากลมใสแวววาวมองมาที่เขาด้วยความเสียใจอย่างที่สุดที่ไม่อาจช่วยเหลืออันใดเขาได้
สี่หนิงเหอได้แต่เหยียดยิ้ม ถึงเป็นบุตรของนายท่านเหวินหม่า หากก็เป็นเพียงแค่ลูกเมียบ่าวที่ถูกทุกคนในบ้านรังเกียจจนถูกขับไล่ให้มาอยู่ยังเรือนหลังเล็กที่ทรุดโทรม หากเจอลมฝนฟ้าแรงสักหน่อยก็คงจะพังทลายลง
“บอกข้ามาเถิดเสี่ยวฝานข้าไม่เป็นอันใดหรอก” เพราะความรู้สึกที่มีต่อคนที่อยู่ในเรือนหลังนี้...มันมีแต่ความเจ็บปวดจนชินชาไปหมดแล้ว
“โธ่! คุณชายของบ่าว” เสี่ยวฝานหลั่งน้ำตากับความอาภัพของผู้เป็นนาย มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า ขณะเอ่ยเล่าให้ผู้เป็นนายฟังน้ำเสียงแผ่วเบาและตะกุกตะกัก
“บ่าวไปพบคุณชายนอนสลบอยู่ที่สวนใต้ต้นกุ้ยฮวา จึงพากลับมาที่ห้องแล้วไปตามท่านหมอมารักษา แต่...” ไม่มีใครสนใจเลยว่าคุณชายของเสี่ยวฝานจะอยู่หรือจากไป พวกเขาช่างใจดำเหลือเกิน
สี่หนิงเหอพยักหน้ารับ ขณะดวงตาก็เหม่อมองออกไปนอกเรือนที่อาศัยหลับนอน บาดเจ็บครานี้เขาลืมเลือนไปหลายเรื่อง หากเสียงหนึ่งที่คอยตอกย้ำอยู่ในศีรษะ
เมื่อได้ย้อนกลับมา เขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น...
โชคชะตาอยู่ที่ตัวเรากำหนด หาใช่คนอื่นไม่ หากยอมแพ้ก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว ชีวิตจะอยู่ยืนยาวนานแค่ไหน สู้และเปลี่ยนแปลง ก็จะรู้ด้วยตัวเอง!
“คุณชายนอนหลับไปสามวันเต็ม ๆ บ่าว...บ่าว...” เสี่ยวฝานพูดไม่ออก เขาไปตามท่านหมอให้มาดูคุณชาย แต่กลับถูกบ่าวรับใช้ของฮูหยินและคุณหนูขัดขวาง เขาทำได้เพียงแค่เช็ดเลือด หาผ้ามาพันไว้และคอยเช็ดตัวให้คุณชายที่นอนไม่ไหวติง มีเพียงแค่ลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่บอกว่ายังคงมีชีวิตอยู่
“เสี่ยวฝาน”
“ขอรับคุณชาย”
“ข้ายังต้องออกจากที่นี่ไปที่นั่นอยู่หรือไม่”
“ไป...ไปขอรับ”
“ยังเหลือเวลาที่ข้าจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าใด” เขาเอ่ยถามอย่างไม่รู้สึกเสียใจหรือน้อยใจแต่อย่างใด ที่ผ่านมาเขามิอยากไปที่นั่นเลย หากมิใช่ครั้งนี้ เพราะการไปที่นั่นในครั้งนี้ จะเท่ากับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขา!
“แต่ช่างเถอะ จะมีเวลาเหลือเท่าไหร่ อย่างไรก็เปลี่ยนแปลงสิ่งใดมิได้ เจ้าช่วยเตรียมน้ำให้ข้าสักหน่อยเถิด ข้าอยากชำระล้างร่างกายเสียหน่อย”
“แต่...”
“มิเป็นไร ข้ามีสิ่งที่ต้องทำก่อนที่จะต้องไปจากที่นี่ ถ้าหากชักช้าไปคงไม่ทันการณ์” เขาบอกกับเสี่ยวฝานที่ออกอาการไม่ค่อยอยากจะทำตามสักเท่าใด
“เชื่อคำพูดของข้าเถอะเสี่ยวฝาน หลังจากนี้ไป ข้าจะทำตัวใหม่ เพื่อทำให้ข้าและเจ้ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ข้าจะไม่ทำตัวอ่อนแอให้เป็นปัญหาอีกแล้ว ข้าให้สัญญา” เขายิ้มให้กับบ่าวรับใช้ที่ติดตามดูแลกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย แม้มีโอกาสได้ไปยังยังที่ซึ่งดีกว่านี้ หากเสี่ยวฝานก็ยังเลือกที่จะอยู่ดูแลเขา คนที่กตัญญูรู้คุณและเป็นคนดีเช่นนี้ เขาจะปล่อยให้ตกระกำลำบากได้อย่างไรกันเล่า
“ขอรับคุณชาย”
เมื่อเสี่ยวฝานกระวีกระวาดไปทำตามคำขอของเขาแล้ว สี่หนิงเหอก็พยุงตนเองที่ค่อนข้างจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นจากเตียงนอนเก่าที่ผุพังจนแทบจะใช้นอนไม่ได้แล้วไปเตรียมตัวชำระล้างร่างกายเพื่อจะไปคุยธุระอันสำคัญยิ่งกับผู้เป็นนายหญิง...ฮูหยินสี่อิงเหม่ย!
“ขอฮูหยินโปรดอภัยที่ข้าน้อยมารบกวนท่านยามกำลังพักผ่อนขอรับ” สี่หนิงเหอประสานมือพร้อมโค้งคำนับให้แก่หญิงวัยกลางคนที่ปรายสายตาเกรี้ยวกราดมองมา
“ในเมื่อรู้ว่ามารบกวนก็รีบไสหัวกลับไปเสียสิ มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย”
คนกล่าวเป็นหญิงร่างบอบบาง ใบหน้าคิ้วคางช่างรับกันอย่างเหมาะเจาะกับเรียวปากอิ่ม รูปกายภายนอกของนางช่างงดงามประหนึ่งนางฟ้า หากวาจากลับ...น่าเสียดายยิ่งนัก สี่หนิงเหอแอบถอนหายใจ
“ข้าน้อยขออภัยคุณหนูใหญ่ด้วยขอรับ แต่การณ์นี้ถ้าหากมิได้มาบอกกล่าวให้กับฮูหยินได้จัดการแก้ไขอย่างเร็วไว คงมิทันท่วงทีขอรับ” สี่หนิงเหอยังคงแสดงท่าทางมิรู้ร้อนรู้หนาว
ฮูหยิงสี่อิงเหม่ยวางถ้วยชาในมือลงอย่างแรง “เจ้าจะมากล่าวโทษข้า เรื่องที่เจ้าบาดเจ็บแล้วข้ามิให้คนไปตามหมอมารักษา”
“เปล่า...เปล่าขอรับฮูหยิน ข้าน้อยมาด้วยเรื่องอื่นขอรับ” จะไม่รีบได้อย่างไรกันเล่า ก็เขามาหาความสบายให้กับตัวเองและหาทางออกให้กับตัวเองยามเมื่อต้องจากเรือนนี้ไปอย่างไรกันเล่า
“ถ้าไม่ใช่มาต่อว่าข้ากับท่านแม่ แล้วเจ้ามาด้วยเรื่องอันใด”
“น่าจะยังเหลือเวลาอีกหลายวันที่ข้าจะต้องจากเรือนหลังนี้ไป แต่เพราะข้าได้รับบาดเจ็บ มันทำให้ข้าได้คิดขอรับ...ตัวข้าเองก็เติบโตมาในเรือนแห่งนี้ แม้ไม่ใช่บุตรในอุทร หากท่านฮูหยินก็ดูแลข้าเป็นอย่างดี” ดีกับผีนะสิ รังแกเสียจนเขาเกือบจะกลับบ้านเก่าเสียตั้งหลายครั้งหลายครา ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนดวงแข็ง คงไม่อยู่มาจนถึงตอนนี้หรอก
“เจ้าจะว่ากล่าวอันใดก็รีบพูดมา”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่บุตรที่สามารถเชิดชูได้ หากแต่ก็ถือว่าเป็นบุตรของนายท่านเหวินหม่า”
“เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่”
คุณหนูใหญ่ ท่านช่างเป็นคนที่ใจร้อนเสียจริง
“แม้ข้าจะต้องไปเป็นเพียงแค่อนุภรรยาแก่ท่านผู้นั้น” แม่ง! นี่มันบ้าเกินไปแล้ว เขาเป็นบุรุษ ทำไมต้องไปอนุภรรยาให้กับบุรุษเช่นกันด้วย “แต่ตัวข้าควรจะต้องมีความรู้ติดตัวไปบ้างหรือไม่ขอรับ” ตัวเขาแค่พออ่านออกเขียนได้ และมิไม่ได้คล่องแคล่วแตกฉานอันใด ก่อนไปก็ควรจะต้องศึกษาเพิ่มเติมเอาไว้…ให้มากที่สุด
“แต่เจ้าก็อ่านออกเขียนได้”
“ใช่ขอรับ คุณหนูใหญ่กล่าวมิผิด หากท่านคิดว่าการที่ข้าอ่านและเขียนได้เฉพาะชื่อของตนเองจะไม่เป็นปัญหาหรือขอรับ” เขารีบไถ่ถามให้คุณหนูใหญ่และท่านฮูหยินได้คิด ชี้แนะมากไปย่อมทำให้ถูกสงสัย แต่หากกล่าวแบบ...กึ่งกล้ากึ่งกลัว ย่อมทำให้สองแม่ลูกเกิดความสงสัยและสนใจ...ได้อยู่
“เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า แค่ฝึกอ่านเขียนแค่วันสองวันคงไม่ทำให้เจ้าฉลาดขึ้นหรอกนะ”
สี่หนิงเหอได้แต่ยิ้ม...คนไม่รู้ ย่อมไม่ผิด แต่คนที่ไม่คิดจะใฝ่รู้ต่างหากเล่า ที่ผิด สำหรับตัวเขานั้น ถ้าหากแสดงออกว่าอ่านออกเขียนได้มากเกินกว่าที่ได้เรียนรู้ คนฉลาดเช่นฮูหยินสี่อิงเหม่ยหรือจะไม่สงสัย เขาถึงได้พูดกันว่า ทำอันใดควรจะเหลือทางไว้อีกสาย ถ้าหากพลาดพลั้ง จะได้มีทางออกให้กับเรื่องที่ทำ แต่นั่นก็จะต้องหมายถึง เรื่องที่ทำไม่ร้ายแรงจนไม่อาจจะให้อภัยได้
“ขอบคุณที่คุณหนูใหญ่เป็นห่วงข้าขอรับ ข้าเข้าใจในความกังวลของคุณหนูใหญ่เป็นอย่างดี แม้เวลาที่ได้ร่ำเรียนจะไม่กี่วัน สิ่งที่ได้จะมากหรือน้อยก็คงจะต้องขึ้นอยู่กับความสามารถ สมองทึมทื่อที่ตัวข้ามีแล้ว แต่ข้าจะทำให้ดีที่สุด จะไม่ให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังและขายหน้าเป็นเด็ดขาดขอรับ”
“ฮึ!”
