บทที่ 3 ดีใจที่สุด

“พี่สาว เป็นแม่เลี้ยงให้โฉวเกอ สักหนึ่งวันได้ไหมขอรับ”

เสียงเด็กชายที่มายืนอยู่ตรงหน้า ถามขึ้น และเขามองนางตาแป๋ว

“ข้าขายตัวแก่ผู้ที่ต้องการ หากเจ้ามีเงิน เราก็สามารถทำสัญญากันได้”

“มีหนึ่งตำลึงเงิน และบิดาจะจ่ายเพิ่มขอรับ... ไปเป็นมารดาให้ข้าเถอะนะ ที่บ้านต้องการผู้หญิงสาวๆ เพิ่ม ถ้างามด้วยก็ดี อิๆ ๆ ”

ซ่งโม่โฉวบอก แล้วยิ้มหวานให้นาง

ยามนั้นคนเป็นบิดาสืบเท้าเข้ามาใกล้ๆ สีหน้าเขาขรึมเข้ม และไออุ่นจากคนตัวโตแผ่ซ่านมาถึงหรันอันเจียว

หรันอันเจียวใจเต้นแรง อีกฝ่ายคือคนที่นางต้องไขว่คว้าเขาไว้ให้ได้ ทว่านางไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกออกไปให้เขาล่วงรู้

“ลูกโฉว อยากให้เจ้ากลับเรือนไปพร้อมเราทั้งสามคน”

“เมื่อท่านจ่ายห้าตำลึงเงิน ข้าก็พร้อมตามพวกท่านไป แต่นอกจากเงิน ท่านต้องตอบคำถามข้าให้ได้เสียก่อน”

“คำถามอันใด?”

หรันอันเจียวมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้า และเอ่ยช้าชัด

“คุณชายคิดว่า สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถปกปิดผู้อื่นได้ คือสิ่งใดบ้าง”

ซ่งเฟิงหัวมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขาคิดว่าการที่นางเขียนป้ายขายตน ไม่ใช่เพียงแค่อยากได้เงิน แต่กำลังมองหาบุรุษที่สามารถเป็นหลักยึดให้แก่นาง

ชายหนุ่มขยับริมฝีปาก แล้วถามกลับ

“คำตอบข้า เกี่ยวกับการค้าครั้งนี้ถูกต้องหรือไม่”

หรันอันเจียวพยักหน้าให้เขา

“ดี เช่นนั้นข้าคงตอบว่า ความจน... ความรัก แล้วก็ ความจริง สามสิ่งนี้ ยากที่จะโกหกผู้อื่น”

คำที่เขากล่าว ทำให้หรันอันเจียวยิ้ม และนางเชื่อเหลือเกินว่า การเป็นแม่หลอกๆ ให้ซ่งโม่โฉว คือก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตสตรีผู้นี้ ให้ไม่ต้องเป็นคนเร่ร่อนอีกต่อไป

จากนั้น หรันอันเจียวแบมือ และบอกคนตัวโต

“เมื่อจ่ายเงินให้ข้าแล้ว ท่านจะได้หนังสือสัญญาถือไว้หนึ่งฉบับ”

ซ่งเฟิงหัวยิ้มบางๆ ก่อนตอบนาง

“ไม่จำเป็น ข้าไม่ชอบผูกมัดผู้ใด อีกอย่าง ข้าซื้อเจ้าก็เพื่อลูกโฉว ส่วนเรื่องอื่นๆ ไว้ถึงเรือน เราต้องตกลงให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา”

“คุณชายเป็นคนรอบคอบ”

“เรียกข้าว่า หัวเกอเถิด ข้าไม่ใช่คนใหญ่คนโตที่ไหน”

หรันอันเจียวยิ้มอีกหน และเอ่ยอ้อมแอ้มว่า

“ขะ ข้า คือ อารุ่ย ชื่อกับแซ่ที่แท้จริงลืมไปแล้ว ตั้งแต่รอดตายมาได้ ข้าก็เป็นอารุ่ย คนอัปลักษณ์” นางว่าอย่างถ่อมตน

และเป็นตอนนั้นที่ซ่งโม่โฉว ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว

“ต่อจากนี้ พี่สาวก็เป็นท่านแม่ของข้าแล้วใช่ไหม เย้... เป็นแม่ของโฉวเกอนะขอรับ เดี๋ยวจะแบ่งของให้กินเยอะๆ”

เด็กชายยิ้มให้หญิงสาว และล้วงเข้าไปในอกเสื้อ เขาได้น้ำตาลกรวดเม็ดโต เมื่อกำลังจะส่งให้หรันอันเจียว ท้องนางก็ส่งเสียงร้องดังโครกคราก

“ก่อนกลับบ้าน พ่อจะซื้อซาลาเปาปลาเค็มให้พวกเจ้าทุกคน รวมถึงเอ่อ... อารุ่ยด้วย”


เรือนซ่ง อยู่ห่างจากตลาดเมืองฉินราวๆ ห้าลี้ เด็กๆ ขึ้นรถม้ากลับเรือน เป็นรถคันใหญ่ที่มีไว้ใช้สอยในเรือนนานแล้ว และม้าคู่นั้นมีอายุพอสมควร หากยังแข็งแรง และช่วยอำนวยความสะดวกได้ดี

หรันอันเจียวมองเด็กชายที่จูงมือนางเข้ามาในเรือนหลังนั้น มันไม่ได้โอ่โถงนักหรอก แต่ทำให้รู้ว่า มีความอบอุ่น แต่ก็รกอยู่สักหน่อย นั่นเป็นเพราะมีเด็กเล็กนั่นเอง อีกทั้งซ่งเฟิงหัวทำความสะอาดเอง เขาไม่ได้ให้สาวใช้ หรือสตรีนางในเข้ามายุ่มย่ามในเรือน เนื่องจากมีทั้งตำราการแพทย์ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้รักษาคน และสัตว์ ทั้งคลังสมุนไพรที่เขาดูแลอย่างดี พวกบ่าวจะกันที่เรือนฮูหยินหม้าย (มารดาเขา) และก็โรงหมอที่เปิดรักษาผู้ป่วยทั่วไป รวมถึงคลังยากับสมุนไพรที่บางครั้งต้องจ้างคนมาช่วยทำงาน

“ท่านแม่ คืนนี้เราจะกินข้าวเย็นอะไรดีขอรับ”

ซ่งโม่โฉวถามหรันอันเจียว และตบเก้าอี้ให้นางนั่งลง เพื่อเขาจะได้เห็นหน้าชัดๆ และปรนนิบัตินางอย่างที่ท่านพ่อเคยสอนไว้

“นั่งตรงนี้ ลูกชายของท่านจะไปยกน้ำชามาให้”

ดวงตากลมโตมองชายหนุ่ม ภาพเขาประทับอยู่ในใจ

หรันอันเจียว

“ขอบคุณหัวเกอ...” นางบอกเขา

ซึ่งไม่ทันที่ทุกคนจะขยับไปไหน ซ่งซินหยานก็ส่งเสียงสูงๆ ว่า

“บิดาข้า นอนคนเดียวมานาน ที่เรือนของเราก็คับแคบ เช่นนั้นเจี่ยรุ่ย*(พี่สาวรุ่ย) คงต้องนอนโรงเก็บฟื้น เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่”

หรันอันเจียวไม่ถือสาอันใดอยู่แล้ว นางแค่อยากมีบุรุษสักคนปกป้อง และไม่ต้องนอนในบ้านร้าง หรือตามผู้อื่นไปทั่วแคว้นจ้าวอย่างที่ผ่านมา

ฝ่ายซ่งโม่โฉวยกมือขึ้นทั้งสองข้าง และเสนอความคิดว่า

“นางเป็นท่านแม่ข้า ต้องนอนกับข้าซี... ถูกไหมขอรับท่านพ่อ”

ยามนั้นคนเป็นพ่อไม่ได้แสดงท่าทางลำบากใจอันใด เขารู้สึกสนุกเสียด้วยซ้ำ

“คืนนี้ให้นางนอนข้างห้องครัวไปก่อน ห้องเก็บฟื้นชื้น และอากาศเย็นเกินไป”

เมื่อซ่งเฟิงหัวตอบเช่นนั้น เด็กชายเลยหัวเราะชอบใจ ก่อนบอกหรันอันเจียวว่า

“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ถ้ากลัวผี โฉวเกอจะไปนอนเป็นเพื่อนนะขอรับ”

หรันอันเจียวยิ้มให้เด็กชาย พอทุกคนก้าวออกไปจากจุดนั้น มือน้อยๆ จึงจับมือนาง และแกว่งไปมา

“คืนนี้ โฉวเกอจะไม่ต้องฝันถึงท่านแม่อีกแล้ว... ดีใจที่สุด ท่านแม่รุ่ยคนสวย...เป็นเทพธิดามาเกิดใช่หรือไม่”

สำหรับซ่งโม่โฉว เขาเห็นว่า หรันอันเจียวงดงามจริงๆ แม้จะมีรอยแผลลึกคล้ายลักยิ้มขนาดใหญ่ฝังอยู่บริเวณแก้มข้างซ้าย แต่เขาไม่สนใจ ด้วยหรันอันเจียว ดูเป็นคนใจดี และแวบหนึ่งเขาเห็นบิดามักมองนางด้วยสายตาซุกซนอยู่สักหน่อย สายตาเดียวกันนี้ เหมือนยามที่เขา มองเด็กผู้หญิงที่แอบชอบ และมักจะหาเรื่องแกล้งหรือล้อเลียนแม่นางน้อย!!

บทก่อนหน้า
บทถัดไป