บทที่ 9
ในเวลาเดียวกันนั้น หนิงอวิ้นหยูวก็จามออกมายกใหญ่
"แปลกจัง ทำไมวันนี้จามบ่อยอย่างนี้ มีใครบ่นคิดถึงข้าหรือเปล่า?"
นางถูจมูก นั่งลงตรงหน้ากระจก พินิจมองใบหน้าของตนเองอย่างละเอียด
รอยแผลเป็นที่อยู่กับเจ้าของร่างเดิมมามากกว่าสิบปี ในตอนนี้หายไปไม่มีเหลือ หลังจากนี้แค่ยาทาให้ตรงเวลา ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินและพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้แผลเดิมก็จะไม่ฟื้นคืนกลับมาแล้ว
นางในยุคปัจจุบันมีหน้าตาธรรมดา ไม่ได้ดูดีเหมือนในตอนนี้แม้แต่ครึ่งเดียว
คิดไม่ถึงเลยว่าการทะลุมิติมาในครั้งนี้ จะเหมือนได้แปลงโฉมทั้งหน้า รูปลักษณ์หน้าตาดีขึ้นอย่างพุ่งพรวด หนิงอวิ้นหยูวรู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบมาก ถึงจะเป็นแค่ความฝันก็ยังเป็นฝันหวาน
ขณะที่นางกำลังยิ้มโง่ ๆ อยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนผลักประตูเข้ามาอย่างไร้มารยาท
ตามมาด้วย นายหญิงนมหลิวที่เดินเข้ามาอย่างถือดี เมื่อเห็นหนิงอวิ้นหยูวก็ไม่คิดที่จะทำความเคารพ เอ่ยพูดอย่างเสียดสีว่า "ท่านอ๋องมีรับสั่งให้เจ้าไปรับใช้ดูแลแผลของฮูหยินมู่ รีบเก็บของแล้วตามข้ามา"
"ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? ข้าต่างหากที่เป็นนายหญิงของจวนแห่งนี้ จะให้ข้าไปรับใช้สนมเนี่ยนะ?" หนิงอวิ้นหยูวเริ่มสงสัยว่าหูตัวเองมีปัญหาเรื่องการได้ยินหรือเปล่า
นายหญิงนมหลิวยิ้มออกมาอย่างดูแคลน "ที่นี่คือจวนจ้านอ๋อง คำพูดของท่านอ๋องยิ่งใหญ่ที่สุด คนในจวนไม่มีสิทธิ์สงสัย"
อีกความหมายก็คือ ไม่ว่าเรื่องอะไรหนิงอวิ้นหยูวก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเองทั้งนั้น
พูดตามตรง หนิงอวิ้นหยูวก็ไม่ต่างอะไรกับนกในกรงทองตัวหนึ่งของจ้วนจ้านอ๋องเท่านั้น หากซือจ้านเหยียนพอใจที่จะปล่อยนางโบยบินสู่ท้องฟ้า ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรอยู่ดี
แต่ซือจ้านเหยียนกลับเกลียดนาง จนแทบอยากเหยียบย่ำให้นางอับอายอยู่ใต้ฝ่าเท้า
ในฐานะที่เป็นคนยุคสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 22 หนิงอวิ้นหยูว จึงเคารพความเท่าเทียมของทุกคน นางรับไม่ได้ที่นายหญิงนมหลิวมองนางราวกับไม่ใช่คน
นางตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ "ขนาดฟ้ายังมีวันล่มสลาย ต่อให้พวกเจ้ายึดถือคำพูดของเขาว่าศักดิ์สิทธิ์เพียงใด แต่ข้าไม่! เจ้ากลับไปบอกซือจ้านเหยียนเลยนะ ในจวนมีคนรับใช้เยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องเป็นข้า"
"เจ้าไปบอกท่านอ๋องเองดีกว่า" นายหญิงนมหลิวมองมาที่นางด้วยสายตาแหลมคม
"เจ้ายังเอาคำพูดของท่านอ๋องมาบอกข้าได้เลย แต่ทีกับข้าเจ้ากลับไม่ยอมเอาไปบอกท่านอ๋องให้ หรือว่าเจ้าไม่เห็นหวางเฟยเช่นข้าอยู่ในสายตา? " ตอนที่หนิงอวิ้นหยูวพูดคำเหล่านี้ออกมา นางก็เผยแพร่กลิ่นอายดุดันชวนหวาดหวั่นออกมา
ชั่วขณะนั้นแม่นมหลิวก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
นางฝืนพูดต่อ "หวางเฟยเช่นเจ้าก็คงใกล้ถึงจุดจบแล้วล่ะ วันนี้ท่านอ๋องพูดเองกับปาก ว่าในจวนจะมีแค่ฮูหยินมู่คนเดียว นางต่างหากคือนายหญิงที่แท้จริงของจวนแห่งนี้ ส่วนหวางเฟยเช่นเจ้าก็คงเป็นได้แค่ในนาม"
นายหญิงนมหลิวจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง คนที่ท่านอ๋องดูถูกเหยียดหยาม นางก็ต้องดูถูกเหยียดหยามด้วยตามประสาหมารับใช้ที่ชอบเลียแข้งเลียขา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงอวิ้นหยูวก็กัดริมฝีปาก ความรู้สึกน้อยใจแปลกประหลาดพลันตีรวนอยู่ในใจ
ตอนนี้แม้แต่นายหญิงนมแก่ ๆ คนหนึ่งก็ยังเล่นหัวนางได้ ในภายภาคหน้าจวนแห่งนี้จะยังมีที่ให้นางยืนหรือไม่?
วันเวลาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในจวนจ้านอ๋องยังอีกยาวไกล ต่อให้วันนี้นางไม่ไปเผชิญหน้า วันต่อ ๆ ไปเรื่องอะไรแบบนี้ก็คงมาหาเรื่องนางถึงที่อยู่ดี
การหลบหนีไม่สามารถแก้ปัญหาได้.....
ดังนั้นหนิงอวิ้นหยูวจึงลุกขึ้นยืนอย่างเงียบ ๆ
เมื่อแม่นมหลิวเห็นท่าทางกล้ำกลืนของนาง พลันรู้สึกลำพองใจ
"ต่อไปนี้ถ้าอยากอยู่อย่างสงบสุข ทางที่ดีก็ควรที่จะเชื่อฟัง แทนที่จะเถียงฉอด ๆ ควรตามข้ามาซะโดยดี ไปได้ละ ฮูหยินมู่รอให้เจ้าไปรับใช้อยู่!"
"ช้าก่อน" หนิงอวิ้นหยูวเอ่ยพูดอย่างเรียบนิ่ง
นายหญิงนมหลิวหันกลับมาอย่างนึกรำคาญ เอ่ยถามว่า "อะไรอีก?"
"นี่ท่าทีอะไรของเจ้า?" นัยน์ตาของหนิงอวิ้นหยูวทอแววดูหมิ่น นางอาศัยรูปร่างสูงเพรียว เดินย่ำเท้าเข้าไปหาแล้วก้มมองแม่นมหลิวจากที่สูง "ถึงข้าจะเสียท่าไปชั่วคราว แต่ข้าก็ยังเป็นเจ้านายของเจ้านะ"
"อย่างเจ้าเนี่ยนะ? ถ้าอยู่ในประตูจวนนี้ แม้แต่ข้าที่เป็นแม่นมเฒ่า เจ้าก็เทียบไม่ติดด้วยซ้ำ!" นายหญิงนมหลิวเอ่ยพูดอย่างไม่ยอม
"งั้นหรือ?" หนิงอวิ้นหยูวแสยะยิ้ม จากนั้นก็พูดว่า "เช่นนั้นวันนี้ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น หากท่านอ๋องถาม ข้าก็จะบอกว่าแม่นมเฒ่าที่มีตำแหน่ง "สูงกว่า" เหยียดหยามข้า ทำให้ข้ารู้สึกไม่พอใจ จึงไม่อยากไปรับใช้ฮูหยินมู่แล้ว"
นายหญิงนมหลิวตกใจกลัวจนต้องหุบปากฉับ
จ้านอ๋องขึ้นชื่อเรื่องความเลือดเย็นไร้ความปราณี แม้นไม่ได้โหดร้ายกับบ่าวไพร่ในจวน แต่เรื่องแยกแยะถูกผิดกลับแม่นยำเป็นอย่างมาก หากนางถูกลงโทษเพราะมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้านาย เช่นนั้นก็คงถูกเฆี่ยนไม่ต่ำกว่าสามสิบไม้เป็นแน่
ชีวิตของนางคงได้จบสิ้นที่นี่!
ต่อมา ท่าทีของนางก็พลิกเปลี่ยนร้อยแปดสิบองศา
"นายหญิง บ่าวต่างหากที่พูดจาพล่อย ๆ ผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านอย่าได้ถือสาหาความและเก็บผู้ต่ำต้อยเช่นบ่าวมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ หากท่านโกรธก็จงระบายทุกอย่างมาที่บ่าว บ่าวจะชดใช้ให้ท่านเอง!" นายหญิงนมหลิวเอ่ยพูดอย่างนอบน้อม
หนิงอวิ้นหยูวเหลือบมองนางอย่างเย็นชา
"ได้สิ เจ้าจะชดใช้อย่างไรล่ะ?"
รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่นมหลิวแข็งค้าง จากนั้นก็แข็งใจ ยื่นมือออกมาตบหน้าตนเอง
"นายหญิง ท่านว่าแบบนี้ได้หรือไม่?"
"แรงเบาไป" หนิงอวิ้นหยูวตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง
"แรงไม่พอหรือ?" เมื่อครู่นายหญิงนมหลิวออกแรงจนเกือบจะสุดแรงแล้วนะ
"ในเมื่อเจ้าไม่ได้อยากจะขอโทษอย่างจริงใจ เช่นนั้น......"
ยังไม่ทันที่หนิงอวิ้นหยูวจะพูดจบ นายหญิงนมหลิวก็ฟาดฝ่ามือลงที่ใบหน้าตนเองอย่างแรง จนเลือดไหลซิบตรงมุมปาก
"นายหญิง เท่านี้คงแรงพอแล้วกระมัง!" นายหญิงนมหลิวเอ่ยถาม
หนิงอวิ้นหยูวชะงักนิ่ง จากนั้นก็พยักหน้าไว ๆ
"เช่นนั้นท่านต้องทำตามที่ท่านอ๋องสั่ง หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น อย่าได้โยนความผิดมาที่บ่าวเชียว" นายหญิงนมหลิวเอ่ยพูดอย่างอดกลั้น
ขณะที่พูด นางก็พาหนิงอวิ้นหยูวไปที่เรือนจัดพิธีแต่งงาน
ตอนที่หนิงอวิ้นเอ๋อร์เปิดประตูเข้าไป ก็เห็นมู่หนิงเอ๋อร์ในสภาพเปลือยไหล่ แนบชิดอยู่ในอ้อมกอดของซือจ้านเหยียน
ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศชวนคิดลึก
“อะแฮ่ม…” หนิงอวิ้นหยูวกระแอมไอออกมาอย่างไม่ดูเวล่ำเวลา
ทั้งสองคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งเสน่ห์หาพลันหยุดชะงัก ทอดสายตามองมาที่หนิงอวิ้นหยูวอย่างพร้อมเพรียง
