บทที่ 5 แอ๊บน่าสงสาร

ภวัตไม่ได้สนใจพวกเขา เขารับโทรศัพท์ในห้องส่วนตัวต่อหน้าพวกเขาเลย แล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “มีเรื่องอะไร?”

แพรวาถามอย่างระมัดระวังว่า “ภวัต คุณเจอมาร์คกับมินนี่หรือยังคะ?”

ภวัตไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เพียงแต่พูดว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็แค่นี้นะ”

“ภวัต คุณโกรธฉันเหรอคะ?” แพรวาพูดพลางสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมา “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะ คือคุณป้าบอกฉันว่าเราคบกันมาหลายปีแล้ว น่าจะแต่งงานกันได้ตั้งนานแล้ว ฉันไม่รู้ว่ามาร์คจะมาแอบได้ยินที่เราคุยกัน ทุกอย่างเป็นความผิดของฉันเอง ถ้ารู้ว่าเขาจะพามินนี่หนีออกจากบ้าน ฉันไม่ไปบ้านคุณตั้งแต่แรกก็ดี...”

เสียงของเธอดังเข้ามาในห้องที่เงียบสงบอย่างชัดเจน

แอนน์ฟังอยู่ก็ยกมุมปากยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นดูร้ายๆ เธออดไม่ไหวจริงๆ จึงหันไปถามนิคว่า “พี่ชาย นี่คือสิ่งที่ผู้ใหญ่เรียกว่าพวกแอ๊บน่าสงสารใช่ไหมคะ?”

นิคพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ แถมยังเป็นประเภทเกรดต่ำด้วย”

เล่ห์เหลี่ยมระดับอนุบาลขนาดนี้เขายังดูออก ไม่รู้ว่าท่านประธานผู้ยิ่งใหญ่ถึงได้หลงกลลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้ได้ยังไง

กอล์ฟที่อยู่ข้างๆ เผลอหลุดขำพรืดออกมา

ภวัตเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เขาก็รีบหุบปากทันที

แพรวาที่อยู่ปลายสายได้ยินเสียงพวกเขาพูดกัน จึงรีบถามว่า “ภวัตคะ เมื่อกี้มาร์คกับมินนี่พูดอยู่เหรอคะ?”

ภวัตไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เพียงแต่พูดว่า “ในเมื่อเธอรู้ว่าไม่ควรมาบ้านฉัน ต่อไปก็ไม่ต้องมาอีก เรื่องในวันนี้ ฉันหวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไป”

พูดจบ เขาก็ไม่เปิดโอกาสให้แพรวาได้พูดอะไร แล้ววางสายไปทันที

ในขณะเดียวกัน นิคก็วางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นยืน ใบหน้าเล็กๆ ที่เย็นชาของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่แอนน์รู้ว่าพี่ชายโกรธแล้ว

เธอก็ลุกขึ้นยืนตามไปด้วย

ภวัตใช้มือกุมขมับอย่างจนใจ เขาจับมือลูกสาวไว้แล้วอธิบายว่า “ลูกรัก ไม่ว่าเธอจะเป็นชาเขียวหรือชาแดง พ่อไม่ชอบดื่มชา นั่งลงกินข้าวเถอะนะคนเก่ง”

แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่ก็แฝงไปด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้

แต่สองพี่น้องไม่หลงกลเขา

นิคพูดเสียงเย็น “ท่านประธาน อย่าคิดว่าพวกเราเป็นเด็กแล้วท่านจะหลอกพวกเราได้ง่ายๆ นะครับ ถ้าท่านไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆ ก็คงไม่ไปยุ่งกับเขาทั้งที่รู้ว่าพวกเราไม่ชอบเขาหรอก”

“แล้วแกจะเอายังไง?” ภวัตถาม

“เลิกยุ่งเกี่ยวกัน” นิคทำท่าเหมือนกำลังเจรจา ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย

“มาร์ค พอได้แล้ว!”

น้ำเสียงของภวัตก็เย็นลง

แต่นิคก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอย

เขาจะปล่อยให้ตัวหายนะแบบนี้มาทำร้ายน้องๆ ของเขาอีกไม่ได้

บรรยากาศในห้องส่วนตัวพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที

กอล์ฟรีบเกลี้ยกล่อมว่า “คุณชายน้อยครับ บริษัทยังไลฟ์กับบริษัทดีแอนด์เคยังมีธุรกิจติดต่อกันอยู่นะครับ แล้วคุณแพรวาก็เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทดีแอนด์เค ยังไงก็คงเลิกติดต่อกันไม่ได้หรอกครับ คุณชายน้อยอย่าสร้างเรื่องอีกเลยครับ”

นิคยังคงไม่ยอมถอย เขามองภวัตแล้วพูดว่า “ทำไมล่ะครับ บริษัทยังไลฟ์ขาดความร่วมมือจากบริษัทดีแอนด์เคแล้วจะอยู่ไม่ได้หรือไง? ก็แค่ข้ออ้าง! ถ้าท่านเสียดายเขาขนาดนั้น ก็เชิญตามสบายเลย พวกเราจะไปหาหม่ามี้!”

พูดจบ เขาก็ไถลตัวลงจากเก้าอี้ แล้วตะโกนว่า “น้องสาว ไปกันเถอะ!”

แอนน์ก็ปีนลงไปตามโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ก่อนจะไป เธอยังหันมาพูดกับภวัตประโยคหนึ่งว่า “พ่อเฮงซวย!”

“พอได้แล้ว!”

ภวัตตบโต๊ะดังปัง! ทำเอาถ้วยชามสั่นสะเทือนส่งเสียงดังเกร๊งกร๊าง

แอนน์ที่อยู่ใกล้ที่สุดอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งตกใจ

ภวัตเมื่อรู้ตัวว่าทำให้ลูกสาวตกใจ ก็รีบปลอบว่า “ลูกรัก อย่ากลัวไปเลย พ่อไม่ได้ว่าลูกนะ”

เขาหันไปมองนิคด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “มาร์ค แกจะอาละวาดให้พอใจเลยใช่ไหม? พ่อเคยบอกแล้วไงว่าแม่ของแกตายไปแล้ว แกจะไปหาเขาที่ไหนได้? กลับมานี่!”

เขากลั้นความโกรธไว้ แล้วพูดเสริมว่า “พ่อสัญญาก็ได้ว่าจะรีบจบโปรเจกต์กับบริษัทดีแอนด์เคให้เร็วที่สุด ต่อไปจะไม่ติดต่อกับเขาอีก พอใจหรือยัง?”

นิคเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปดึงแอนน์มาอยู่ข้างตัว จากนั้นจึงมองไปที่ภวัตแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ถ้างั้นก็รอให้ท่านจัดการให้จบก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที!”

ยังจะมาโกหกเขาอีกว่าหม่ามี้ตายแล้ว

นิคโกรธจริงๆ แล้ว เขาจูงมือน้องสาวแล้วเดินจากไป

แต่พอเปิดประตูออกไป ก็มีบอดี้การ์ดสองคนยืนขวางอยู่ข้างหน้า พวกเขากล่าวพร้อมกันว่า “คุณชายน้อย คุณหนูครับ!”

“หลีกไป!” นิคพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

ทั้งสองคนไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ขยับ

นิคหันกลับไปมองภวัต “ท่านประธาน นี่หมายความว่ายังไงครับ จะไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้เหรอครับ?”

ภวัตถูกพวกเขากวนประสาทจนไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว เขาโบกมือทีหนึ่ง บอดี้การ์ดจึงยอมหลีกทางให้

นิคจูงมือน้องสาวแล้ววิ่งออกไป

กอล์ฟ: “ท่านประธานครับ ท่านไม่รู้สึกเหรอครับว่าคุณชายน้อยกับคุณหนูดูแปลกๆ”

ภวัต: จะว่าแปลกก็ยังน้อยไป เจ้าเด็กมาร์คนั่นน่ะ ไม่เคยมีวันไหนปกติเลย

เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมลูกชายของภวัตอย่างเขาถึงได้มีนิสัยต่อต้านไปซะทุกอย่าง ไม่เหมือนเขาเลยสักนิด

แต่การที่ได้เห็นลูกสาวค่อยๆ ดีขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง

กอล์ฟถามอีกครั้ง “คุณชายน้อยกับคุณหนูออกไปแล้ว ต้องให้คนตามไปไหมครับ?”

“ไม่ต้อง มาร์คไม่ชอบให้ใครตาม แกจัดคนไปเฝ้าทุกทางออกของโรงแรมก็พอ อย่าให้พวกเขาหนีไปได้อีก”

เมื่อเทียบกับสองพี่น้องคู่นี้ สองพี่น้องฝั่งอัญชนีมีความสุขกว่ามาก

อัญชนีและยูริกินข้าวไปคุยเรื่องงานไปเป็นครั้งคราว และบางครั้งก็เผลอเอ่ยชื่อภวัตขึ้นมา

แม้ว่าอัญชนีจะไม่อยากพูดถึงผู้ชายคนนี้และพยายามเปลี่ยนเรื่องอยู่เสมอ แต่คนพูดไม่ได้ตั้งใจ คนฟังกลับใส่ใจ

มาร์ครู้ได้ทันทีว่าอัญชนีกับภวัตพ่อของเขาต้องรู้จักกันแน่ๆ และเมื่อดูจากสีหน้าของเธอแล้ว เธอกับพ่อต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่พูดไม่ได้อยู่แน่ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกผูกพันอย่างอธิบายไม่ถูกที่มินนี่น้องสาวของเขามีต่อเธอ

ประกอบกับยังมีพี่น้องอีกคู่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับพวกเขาราวกับแกะ

จากสัญญาณต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เขาเกือบจะมั่นใจได้แล้วว่าอัญชนีคือหม่ามี้ของเขา

ความรู้สึกนี้มันช่างน่าอัศจรรย์และสวยงามเหลือเกิน

ดังนั้นหลังจากกินอิ่มแล้ว เขาก็เข้าไปอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของอัญชนี เอาหัวเล็กๆ ถูไถไปมา ปากก็เรียกหม่ามี้ไม่หยุด แถมยังยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนคนโง่

อัญชนีรู้สึกว่าวันนี้ลูกชายคนนี้ดูติงต๊องไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วหันไปถามยูริว่า “กินกันเกือบอิ่มแล้ว งั้นเรากลับกันเถอะ นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน ก็เหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ”

“ได้สิ”

ยูริเรียกพนักงานมาคิดเงิน

ตอนนั้นเอง มินนี่ก็ดึงแขนเสื้อมาร์ค แต่ไม่ได้พูดอะไร

แต่มาร์ครู้ว่าน้องสาวคิดอะไรอยู่ จึงพูดกับอัญชนีว่า “หม่ามี้ครับ แม่ทูนหัว น้องสาวอยากไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวผมพาเธอไปเองครับ”

ตอนนี้เขาสามารถเรียกคำเรียกทั้งสองนี้ได้อย่างคล่องปากแล้ว

อัญชนี: “ไปสิ ระวังตัวด้วยนะ รอพวกเธอกลับมาแล้วเราค่อยกลับบ้านกัน”

“ได้เลยครับ!”

มาร์คขานรับ

ในตอนนั้น เขาคงลืมไปแล้วว่าตัวเองยังมีพ่ออีกคน

สองพี่น้องจูงมือกันเดินไปทางห้องน้ำ

ในขณะเดียวกัน พี่น้องอีกคู่หนึ่งก็เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ

ตรงหัวมุมทางเลี้ยว ไม่มีใครสังเกตเห็น ได้ยินเพียงเสียงดัง ‘ปัง’ สองพี่น้องก็ชนเข้ากันอย่างจัง

มาร์คและนิคต่างล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกัน

แอนน์กับมินนี่ก็ชนกัน แต่แอนน์ว่องไวกว่า พอเห็นว่ามินนี่กำลังจะล้ม เธอก็รีบยื่นมือไปดึงไว้ทันที ตอนนั้นเองเธอถึงได้สังเกตเห็นว่าเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าหน้าตาเหมือนกับเธอราวกับแกะ

“เธอคือ... มินนี่เหรอ?” แอนน์ถาม

มินนี่ไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยืนนิ่งๆ มองแอนน์อย่างสงสัยใคร่รู้

ส่วนเด็กผู้ชายสองคนที่ล้มอยู่บนพื้น แม้ว่าจะเตรียมใจมาแล้วว่าบนโลกนี้มีคนอีกคนที่หน้าตาเหมือนตัวเองเป๊ะๆ แต่พอมาเจอกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ก็ยังมีบ้างตั้งตัวไม่ทัน รู้สึกว่าความรู้สึกแบบนี้มันช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ

สุดท้ายมาร์คก็เป็นฝ่ายเปิดปากก่อน “นายคือ... นิคเหรอ?”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป