บทที่ 4 บทที่ 4.
ครอบครัวของเธอนั้นจะใช้ชีวิตในแบบชาวสวนที่พอเพียง บิดามักจะพร่ำสอนเธอเสมอให้รู้จักประหยัดอดออมและใช้ชีวิตแบบพอเพียงดังคำสอนของในหลวงและในบ้านเธอเองไม่เคยต้องซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองอะไรเกินความจำเป็นแม้ว่าฐานะทางบ้านของเธอเองก็อยู่ในขั้นที่เรียกได้ว่ามีอันจะกินอยู่พอสมควร แต่ครอบครัวของเธอเลือกที่จะมีจะกินอะไรที่ง่ายๆ และสะดวกไม่ยุ่งยากเพราะที่บ้านสวนของเธอมีเกือบครบครันด้วยภูมิปัญญาของผู้เป็นบิดาที่หมั่นดัดแปลงสิ่งของต่างๆ ที่ไม่ใช้แล้วให้เป็นของใหม่น่าใช้เสมอ
ร่างเล็กบอบบางของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของ “ร้านกาแฟและต้นไม้อิ่มรัก” ที่มักจะลงมือรดน้ำพรวดดินเพาะพันธุ์ต้นไม้ดอกไม้ด้วยตัวเองและเป็นภาพที่ชินตาที่ลูกค้าทั่วไปจะพบเห็นเธออยู่ในโรงเพาะชำหรือกำลังรดต้นไม้แม้แต่เสนอขายต้นไม้ดอกไม้แก่ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาด้วยตัวเองอยู่เสมอๆ ด้วยอัธยาศัยที่น่ารักเป็นกันเองและราคาไม้ดอกไม้ประดับที่ร้านของเธอก็ราคาย่อมเยาเพราะถือว่าปลูกเองเพาะพันธุ์เอง ด้วยเหตุนี้ร้านกาแฟและต้นไม้อิ่มรัก จึงมีลูกค้าที่แวะเวียนมาอุดหนุนเป็นประจำมิได้ขาด และวันนี้ก็เช่นกันที่อรุณนารีจัดการผสมดินกับปุ๋ยอินทรีที่พ่อของเธอเป็นผู้ทำเองเพื่อใช้ในสวนและแบ่งให้ลูกสาวคนสวยเอามาใช้ที่ร้านต้นไม้ด้วย ในขณะที่นั่งผสมดินเพื่อเตรียมไว้ปลูกต้นไม้เธอก็ฮัมเพลงรักแสนหวานอย่างอารมณ์ดี ยิ้มให้ต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยตามประสาของคนรักต้นไม้
“นั่นแน่ ยิ้มอะไรคนเดียวอ่ะ มีแฟนรึไงแก”
เสียงที่ไม่พึงประสงค์ดังขึ้นทำให้ภวังค์แสนหวานพังครืน เธอหันขวับมามองเพื่อนสาวสุดติสท์พลางส่งสายตาพิฆาตที่พยายามทำยังไงก็ไม่น่ากลัวให้เนตรนาราอย่างคาดโทษ
“มาแล้วก็ชอบทำลายความฝันที่แสนหวานของคนอื่นประจำนะแก”
“ว้าวๆ นี่นางสาวแมงปอ เดี๋ยวนี้ริอ่านมีความลับความรักรึเปล่าแก ไหนๆ มาดูซิหน้าตาคนที่จะมีความรักมันเป็นยังไง ฮ่าๆ” สาวสาวสุดติสท์จับใบหน้ารูปหัวใจนั่นพลิกซ้ายขวาแล้วหยิกแก้มเพื่อนรักอย่างมันเขี้ยว เพื่อนสาวร่างเล็กบอบบางอย่างแมงปอรึจะยอมให้เพื่อนสาวคนสวยที่มีเรือนร่างสูงโปร่งปราดเปรียวกระทำอยู่ฝ่ายเดียว หญิงสาวเอามือเล็กๆ ที่ตอนนี้มันเปื้อนเปรอะด้วยดินเพราะเธอเพิ่งจะพรวนดินต้นไม้และมันยังไม่ได้ล้างป้ายใบหน้าสวยเฉี่วคมของเนตรนาราคืนบ้าง แล้วสองสาวก็ไล่ต้อนกอดปล้ำกันอย่างไม่มีใครยอมใครเหมือนเด็กเล็กๆ เล่นกันไม่มีผิดทั้งๆ ที่ทั้งสองสาวบรรลุนิติภาวะมาหลายปีแล้ว
สองสาวหยอกเย้าวิ่งไล่ต้อนกันโดยไม่สนใจใครนั้น เป็นเรื่องที่เคยชินไปเสียแล้วเวลาที่เจอกัน และในขณะที่อรุณนารีวิ่งหลบเพื่อนสาวคนสวยโดยไม่ทันมองทางว่ามีอะไรขวางหน้าและทันใดนั้นเองเธอก็ชนเข้ากับใครบางคนที่ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ได้ชนคนแต่ชนกำแพงใหญ่มหึมาเลยทีเดียว
“โอ๊ย!!!” ร่างเล็กบางเซถลาก้นจ้ำเบ้าพลางร้องโอดโอยมือกุมสะโพกมนป้อยๆ พอตั้งสติได้เธอก็ค่อยๆ มองที่ตัวต้นเหตุไล่เรื่อยมาตั้งแต่รองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มยี่ห้อดังกลางเก่ากลางใหม่ เธอไล่สายตาเรื่อยมาตามขาแกร่งที่ยืนแยกขาน้อยๆ ตรงหน้าเธอ ชายเสื้อลายสก๊อตสีเขียวอ่อนสอดเข้าไปในขอบกางเกงยีนสีเข้มแขนแกร่งสีแทนสวยกอดอกหลวมๆ ด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ในความคิดของเธอ และเธอพยายามเพ่งมองใบหน้าของคนตัวโตที่ยืนค้ำหัวเธออยู่เพราะเขายืนหันหลังให้กับแสงของตะวันที่เริ่มบ่ายคล้อยพอดีทำให้เธอมองเห็นเพียงเงาทะมึนมืดของคนที่ยืนค้ำหัวเธออยู่อย่างไม่คิดจะช่วยเหลืออะไรเลยแม้แต่คำขอโทษสักคำก็ไม่มีเล็ดลอดออกมาจากปากคนตัวโต
ผู้ชายอะไรไม่มีน้ำใจและไร้มารยาท หญิงสาวคิดอย่างขัดเคืองใบหน้าน่ารักแดงจัดด้วยความกรุ่นโกรธและเหนื่อยหอบจากการวิ่งหนีเพื่อนรัก แต่ในขณะที่เธอสำรวจคนที่ยืนค้ำหัวตระหง่านอยู่นั้น คนร่างใหญ่โตดุจหินผานั้นก็ก้มมองสำรวจหญิงสาวร่างเล็กบอบบางตรงหน้าเช่นกัน
ร่างเล็กๆ ใบหน้ารูปหัวใจน่ารักนั้นมอมแมมด้วยดินโคลน ผมที่รวบเป็นหางม้าหลุดลุ่ยดูมอมแมมเหมือนเด็กซนๆ คนหนึ่งที่หนีพ่อแม่วิ่งเที่ยวเล่น ดวงตากลมโตสดใสมีแวววิบวับขุ่นเคือง จมูกเล็กๆ มีเหงื่อซึมนิดๆ ริมฝีปากบางน่ารักบิดเม้มอย่างขัดใจ ดูท่าว่าลูกแมวน้อยๆ ตรงหน้านี่เริ่มจะกลายร่างเสียแล้วสินะ
“เฮ้ย ไอ้แมงแกเป็นไรมากรึเปล่าอ่ะแก”
เนตรนาราที่วิ่งตามมาทีหลังลนลานพยุงร่างเล็กบอบบางของเพื่อนรักอย่างเป็นห่วงพลางลูบคลำตามเนื้อตัวของเพื่อนรักอย่างสำรวจตรวจตราว่าเจ็บตรงไหนบ้าง
