บทที่หนึ่ง
มุมมองของดีแลน
กริ๊ง
"อืมมมม"
กริ๊งงงง
"อื้ออออ"
ผมครางอย่างเกียจคร้านเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกบ้าๆ บอๆ ตัดสินใจปลุกผมให้ตื่นจากการหลับที่ไม่สนิทนัก
ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้นะ วันนี้คือวันนั้น...วันแรกของการสอนที่มหาวิทยาลัย ผมใช้เวลาหลายปีเตรียมตัวสำหรับช่วงเวลานี้ แต่พอมาถึงจริงๆ ผมกลับสลัดความรู้สึกประหม่าที่ก่อตัวขึ้นในใจออกไปไม่ได้
ผมเป็นคนขี้อาย และทำไมผมถึงเลือกที่จะสอนก็ยังคงเป็นปริศนาสำหรับผมอยู่ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะพูดอะไรออกมาได้โดยไม่ติดอ่าง แล้วผมจะสอนนักศึกษาที่โตพอจะมองว่าความงุ่มง่ามของผมน่าขบขันมากกว่าน่าอายและน่าหัวเราะเยาะได้ยังไง
ขณะที่ผมนอนอยู่บนเตียง ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องแย่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จะเป็นยังไงถ้าผมพูดตะกุกตะกัก เหมือนกับอาการติดอ่างบ้าๆ ของผมที่กำเริบขึ้นมา มันเป็นแบบนี้เสมอเวลาที่ผมอยู่ในฝูงชนหรือพูดคุยกับผู้คน
จะเป็นยังไงถ้าผมลืมโน้ต จะเป็นยังไงถ้านักศึกษาไม่ชอบผม ข้อสงสัยวนเวียนอยู่ในหัวผมเหมือนวังวน ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนด้วยความวิตกกังวล และหัวใจเต้นเร็วขึ้น ผมไม่มีเวลามาตื่นตระหนกตอนนี้หรือวันนี้จริงๆ
ผมสูดหายใจลึกแล้วสะบัดผ้าห่มออก พยายามสลัดความคิดในแง่ลบ นีน่าเคยบอกว่าจิตใจที่คิดลบจะนำไปสู่ความเสียใจโดยไม่จำเป็นและการทำร้ายตัวเอง นีน่าเป็นพี่เลี้ยงของผม หรือที่ผมเรียกจนติดปากว่าเป็นแม่บุญธรรมที่ก้าวเข้ามาดูแล เธอเป็นหญิงชราที่น่ารักมาก เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ผมเปิดตัวกับพ่อแม่...โอเค ผมไม่ได้เปิดตัวกับพวกเขาจริงๆ ผมแค่...บังเอิญไปจูบลูกชายของหุ้นส่วนธุรกิจคนหนึ่งของพวกเขา...พวกเขาก็เลยทิ้งผมไว้ในอพาร์ตเมนต์นี้กับเธอ แต่เมื่อหลายปีก่อนก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เธอย้ายออกไปเพื่อให้ผมมีความเป็นส่วนตัว ความเป็นส่วนตัวที่ผมไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่เพราะไม่มีอะไรต้องเก็บเป็นความลับ...ยกเว้นความลับเล็กๆ ของผม
อย่างไรก็ตาม ผมเตรียมตัวมาเพื่อช่วงเวลานี้ ผมพยายามย้ำเตือนตัวเอง ผมใช้เวลานับไม่ถ้วนทบทวนโน้ต ซ้อมบรรยาย และเตรียมแผนการสอนที่น่าสนใจ ผมพร้อมแล้ว พร้อมที่จะแสดงให้นักศึกษาเหล่านี้เห็นว่าศิลปะมีอะไรมากกว่าแค่การระบายสีบนกระดานขาว
ผมรักศิลปะ มันเป็นวิธีที่ผมสามารถแสดงออกถึงตัวตนได้โดยไม่ต้องพูดออกมาจริงๆ สิ่งที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับศิลปะคือมันไม่จำเป็นต้องเป็นแค่เส้น สี และกระดานเสมอไป ศิลปะสามารถเป็นดนตรี งานเขียน การถ่ายภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่รูปแบบศิลปะที่ผมชอบที่สุดคือการวาดภาพ/ระบายสี ทุกครั้งที่ผมยืนอยู่หน้าผืนผ้าใบ มันให้ความรู้สึกที่ใช่เสมอ ผมรักศิลปะมาโดยตลอด ศิลปะสามารถพบได้ทุกที่ และสถานที่ที่ผมชอบดูศิลปะมากที่สุดคือบนร่างกายมนุษย์
กลับมาเรื่องเดิม ผมลุกจากเตียงและเริ่มทำกิจวัตรตอนเช้า พยายามจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำตรงหน้ามากกว่าความคิดที่วิ่งวุ่นในหัว ผมอาบน้ำ ทำสกินแคร์ และแต่งตัวในชุดอาจารย์ที่ดีที่สุดของผม
ขณะที่ผมเดินไปที่ห้องครัวเพื่อชงกาแฟ ผมเหลือบเห็นตัวเองในกระจก ผมดูซีดและประหม่าเล็กน้อย ดวงตาโหลลึกจากการนอนไม่พอ ผมสูดหายใจลึกและพยายามตั้งสติ เตือนตัวเองว่าผมมีความสามารถและเก่งพอ ผมไม่ค่อยชินกับการนอนคนเดียว หลายปีหลังจากที่นีน่าย้ายออกไป ผมก็ยังไม่ชินกับการนอนคนเดียว บางครั้งผมจะกอดตุ๊กตาหมีเพื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยของใครสักคน แต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้ว่ามันไม่เหมือนกัน
ผมรินกาแฟให้ตัวเองหนึ่งแก้วแล้วนั่งลงที่โต๊ะในครัว พยายามรวบรวมความคิด ผมทบทวนโน้ตเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้แน่ใจว่ามีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการบรรยายในวันนี้
แต่ถึงแม้จะพยายามอย่างเต็มที่ ความประหม่าก็ยังคงอยู่ จะเป็นยังไงถ้าผมไม่ดีพอ จะเป็นยังไงถ้าผมล้มเหลว จะเป็นยังไงถ้าพ่อแม่พูดถูก ว่าผมเป็นแค่ความผิดหวังครั้งใหญ่
ผมปัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปแล้วลุกขึ้นยืน กระดกกาแฟจนหมดในอึกเดียว ถึงเวลาเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว ผมคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกจากประตู สูดหายใจลึกขณะก้าวเข้าสู่สิ่งที่ไม่รู้จัก...ก็ไม่เชิงว่าไม่รู้จักหรอก แต่คุณคงเข้าใจนะ
...
ขณะที่ผมกำลังออกจากอพาร์ตเมนต์ ใจลอยนึกถึงวันแรกของการสอน ผมไม่ทันสังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงโถงทางเดิน จนกระทั่งผมเดินไปชนเขาเข้า
"โอ๊ะ ขอโทษครับ!" ผมอุทานขณะที่เซถอยหลัง พยายามทรงตัว ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย วันนี้ผมจะเจอเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ชายคนนั้น เพื่อนบ้านของผม มองผมด้วยสายตาที่ผสมปนเปกันระหว่างความประหลาดใจและความรำคาญ "เดินดูทางหน่อยสิ ไอ้เตี้ย" เขาพูดเสียงห้วน
ผมรู้สึกว่าหน้ายิ่งร้อนขึ้นไปอีกด้วยความอับอาย "ผมขอโทษจริงๆ ครับ" ผมพูดซ้ำ พยายามจะแก้ไขสถานการณ์ "ผมไม่ทันได้มอง" เขาตัวใหญ่มาก จะเป็นยังไงถ้าเขาซ้อมผม ผมไม่มีทางป้องกันตัวเองได้เลย อย่างน้อยที่สุด หรือในกรณีของผมคืออย่างมากที่สุดที่ทำได้ก็คือตะโกนขอความช่วยเหลือ และผมก็สงสัยว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า
เพื่อนบ้านของผม ผู้ชายตัวสูงหล่อผิวเข้มและไว้เครา มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย บางทีเขาอาจจะเพิ่งย้ายมาใหม่ “จ้องพอรึยัง” เขาพูด น้ำเสียงยังคงเหมือนเดิม หงุดหงิดและรำคาญ “ขอโทษครับ” ผมรีบพูดออกไป ผมไม่อยากมีเรื่องกับเขาเลยแม้แต่น้อย
“ผม...เอ่อ...ดีแลนครับ” ผมแนะนำตัวเอง พยายามซ่อนความประหม่าและอยากให้บรรยากาศมันดีขึ้น
“แล้วฉันต้องแคร์ทำไม” เขาถามผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม เหมือนกับว่าเขาไม่รู้จักการแสดงสีหน้าอื่นเลยนอกจากความรำคาญ เขาตัวสูงใหญ่ขนาดนี้ ต้องออกกำลังกายทุกวันแน่ๆ พนันได้เลยว่าแค่มือข้างเดียวของเขาก็ยกแล้วโยนผมทิ้งได้สบายๆ
เรายืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งในความเงียบอันน่าอึดอัด ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ และดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะกำลังสนุกกับความอึดอัดของผม เพราะสีหน้าของเขาอ่อนลงเล็กน้อย และตอนนี้ก็มีรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นมา
ผมนึกว่าเขาจะทำอะไรบางอย่าง แต่เขากลับแค่ส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วเริ่มเดินจากไป
“จะยืนอยู่ตรงนั้นรอหาเรื่องเพื่อนบ้านคนต่อไปรึไง” เสียงของเขาดังขึ้นขณะก้าวเข้าไปในลิฟต์
“ผะ...ผม...” คือสิ่งที่หลุดออกจากปากผม
“ผะ...ผม...” เขาล้อเลียน ประตูลิฟต์กำลังจะปิดแต่เขาก็กดเปิดค้างไว้
“เข้ามา” เขาสั่ง และด้วยความที่เป็นคนยอมคนและหัวอ่อน ผมก็รีบก้าวเข้าไปข้างในทันที
ประตูลิฟต์ปิดลงและเขาก็กดไปที่ชั้นล่างสุด ผมพยายามอย่างหนักที่จะไม่จ้องมองเขา แต่ผมสัมผัสได้ถึงออร่าของเขา เขาตัวสูงใหญ่มากจริงๆ เขาสามารถบีบตัวผมให้เป็นลูกบอลหรือวัตถุอะไรก็ได้ที่เขาต้องการเลย
เราอยู่ในลิฟต์ท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัด ซึ่งถูกทำลายลงด้วยเสียงกลืนน้ำลายดังๆ ของผม ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังจ้องมาที่ผมเขม็ง ทำให้ผมอยากจะหลอมตัวเองเข้าไปกับผนังลิฟต์
ในที่สุดเราก็มาถึงชั้นล่าง
“ขอโทษอีกครั้งนะครับ” ผมรีบพูดพร้อมกับบอกลาเขาก่อนจะวิ่งไปที่รถ
ผมเหลือบมองเขากลับไปอีกครั้งก่อนจะเข้ารถ เขาหล่อมากเลย เสียดายที่เขาไม่ใช่เกย์ และผมก็ไม่มีความกล้าพอที่จะไปจีบเขา
ผมส่ายหัวและหัวเราะกับตัวเองอย่างขื่นๆ นี่ไม่ใช่การเริ่มต้นวันที่ผมต้องการเลย
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินทางต่อ หวังว่าวันที่เหลือของวันจะเครียดน้อยลง
.......
ขณะที่ผมเดินเข้าไปในห้องเรียน ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตัวเองทำสำเร็จ ผมมาถึงวันแรกของการสอนของผมจนได้ พ่อกับแม่คิดผิด ผมจะต้องเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้บ้าง บางทีตอนนี้ผมอาจจะเลิกรับเงินจากพวกเขาและเริ่มต้นชีวิตของตัวเองได้เสียที
ผมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับโลกแล้ว ผมทำได้ทุกอย่าง
โลกจ๋า ฉันมาแล้วววววว... ผมตะโกนอย่างมีความสุขในใจ ผมมีความสุขและไม่มีอะไรมาทำลายมันได้...
นั่นก็คือ จนกระทั่งผมเกือบจะสะดุดขาตัวเองล้ม
ผมมัวแต่จดจ่ออยู่กับการทักทายนักเรียนและเตรียมเอกสารจนไม่ทันสังเกตเห็นสายไฟที่หลุดอยู่บนพื้น ขาผมไปพันกับมันเข้า และผมก็เซ เกือบล้มหน้าคะมำ ผมทรงตัวไว้ได้ทันเวลาพอดี แต่ก็ไม่วายอุทานออกมาเสียงดังอย่างน่าอายว่า "โว๊ะ!" ผมหัวเราะแหะๆ แต่ให้ตายสิ ผมอายมาก ผมอยากให้พื้นแยกแล้วสูบผมลงไปเดี๋ยวนี้เลย
นักเรียนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความประหลาดใจ และผมรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวไปด้วยความอับอาย
ผมพยายามทำตัวให้คูล หัวเราะกลบเกลื่อนแล้วก็พูดติดตลกว่า "รีบซุ่มซ่ามให้มันจบๆ ไปแต่เนิ่นๆ" แต่ข้างในใจ ผมอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี อยากจะตายไปให้พ้นๆ ยมทูตอยู่ไหน
ผมรีบตั้งสติและเริ่มบรรยาย พยายามสลัดความอึดอัดทิ้งไป แต่ผมก็สลัดความรู้สึกที่ว่าตัวเองได้ทำเรื่องน่าขายหน้าต่อหน้านักเรียนไปแล้วไม่ได้ ผมพูดติดๆ ขัดๆ อยู่สองสามครั้ง และมือผมก็สั่นเล็กน้อยตอนที่เขียนบนกระดาน
“สวัสดีตอนเช้านักเรียนทุกคน” ผมทักทาย บังคับตัวเองให้สงบ
“ครูชื่อดีแลน แมทธิว จะมาเป็นครูสอนศิลปะของพวกเธอในเทอมนี้” มือที่สั่นเทาของผมชี้ไปที่ชื่อและรหัสวิชาที่เขียนไว้บนกระดาน
“ขอให้ทุกคนรู้สึกเป็นกันเองกับครูได้เลยนะ คิดว่าครูเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งก็ได้ แต่อย่าเป็นกันเองเกินไปจนลืมว่าครูไม่ใช่เพื่อนพวกเธอ” ผมหัวเราะแห้งๆ ออกไป ซึ่งสิ่งที่ตอบกลับมาคือความเงียบ
“โอเคคคค” จากนั้นผมก็เริ่มสอนหัวข้อของวันนี้ หรือในสายตาของนักเรียนก็คือ พยายามจะสอน ผมประหม่ามากจนไม่คิดว่าตัวเองรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
แม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ที่เหลือของคลาสเรียนก็ผ่านไปอย่างเลือนลาง ผมไม่มีสมาธิกับเนื้อหา และไม่สามารถสลัดความรู้สึกอับอายออกไปได้ ผมแค่อยากจะออกไปจากที่นั่นแล้วเริ่มต้นใหม่
เมื่อคลาสเรียนสิ้นสุดลงในที่สุด ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ผมผ่านวันแรกไปได้ แต่ก็รู้ว่าหนทางยังอีกยาวไกล ผมเก็บของแล้วเดินออกจากห้องเรียน หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีกว่า
ขณะที่ผมเดินออกจากห้อง ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากนักเรียนสองสามคน ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้ เมื่อตระหนักว่าบางที...บางทีความซุ่มซ่ามของผมอาจจะช่วยทลายกำแพงระหว่างเราได้
หรือบางทีพวกเขาอาจจะแค่กำลังหัวเราะเยาะผมอยู่ รอยยิ้มของผมหุบลงทันที และผมก็ได้แต่ก้มหน้าเดินอย่างอับอายไปยังห้องพักครูที่จัดไว้ให้







































































