บทที่ 5 ตัวซวย
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยหนู”
“…….” พี่เขาเงียบเอาแต่จ้องหน้าสีหน้าเขามันบอกอย่างชัดเจนว่าเอือมระอา เบื่อหน้าฉันเอามาก ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวคนสวยพี่โมจิ กับพี่ผู้ชายสุดหล่อเข้ามาช่วย พี่พาร์ท เทพบุตรสุดหล่อคงไม่พามาที่โรงพยาบาลแน่นอน
“จะมองอีกนานมั้ย” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นทำให้สติมันกลับคืนมา ก็จะอะไรเขาหล่อไงเลยเอาแต่มอง
“ขอโทษค่ะ ก็พี่หล่อหนูเลยอยากมองนาน ๆ ถือว่าเป็นบุญตา งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ” ตอนนี้ก็บ่ายโมงแล้วจะกลับไปทำงานก็คงเดินไม่ไหว แค่จะเดินไปป้ายรถเมล์ยังคิดหนักเลย เฮ้อ
“รู้มั้ยเจอเธอทีไรฉันซวยทุกที แทนที่จะได้กินข้าวแต่ต้องพาใครก็ไม่รู้มาหาหมอ” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ขอโทษค่ะ ที่หนูทำให้พี่เดือดร้อน” สองมือยกขึ้นไหว้เขาแล้วเดินขากะเผลกไปที่ป้ายรถเมล์ ไม่ได้โกรธเขาหรอก ที่พี่เขาพูดแบบนั้นก็มันเป็นเรื่องจริง ใคร ๆ ก็บอกว่าฉันมันคือตัวซวย! ไม่งั้นจะทำให้พ่อแม่ตายเหรอ
“เจ็บชะมัดเลย แล้วแบบนี้จะทำงานยังไงเนี่ย” กว่าจะเดินมาถึงป้ายรถเมล์ ก็ใช้เวลามากพอสมควร แล้วหมอคือบอก ห้ามเดินเยอะไม่เดินแล้วจะทำงานยังไง เฮ้อ...
ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ อีกแค่ 5 เดือนจะจบ ม. ต้องรีบหาเงินจะได้มีเงินเรียนต่อ ถึงจะไม่มีใครร่วมยินดีในวันที่ประสบความสำเร็จ
“หนูจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวหนู! ว่าหนูไม่ใช่ตัวซวย” ฉันแหงนหน้ามองขึ้นฟ้ายิ้มให้พ่อแม่ที่เฝ้ามองลงมาจากฟากฟ้าไกล
ฉันเชื่อแบบนั้นเชื่อว่าพวกท่านอยู่ข้าง ๆ คอยให้กำลังใจตลอด ที่ทุกคนบอกว่าฉันเป็นตัวซวยเพราะวันที่เกิดเป็นวันที่พ่อแม่สูญเสียทุกอย่าง ธุรกิจล้มละลาย จากที่เคยมีทุกอย่างก็ไม่เหลืออะไรสักอย่าง
“ทำไมพ่อกับแม่ไม่เอาหนูไปด้วยนะ เธียร เหนื่อยจังเลยค่ะ” แค่คิดน้ำตามันก็จะไหล แต่ก็ผ่านมาแล้วทุกอย่าง แค่บางครั้งมันก็ต้องการใครสักคนที่คอยปลอบ อยู่ข้าง ๆ อยากมีชีวิตเหมือนคนอื่นที่ไม่ต้องดิ้นรน
แต่ก็ช่างเถอะคนเราเกิดมาต่างกันแค่มีกินไปวัน ๆ ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อก็พอแล้ว
“รอด้วยค่ะ” มัวแต่นั่งเหม่อรถเมล์มาก็เลยไม่เห็นดีนะเขาไม่ออกรถไปก่อน
“หลบ ๆ ๆ รีบ ชักช้า”
พรึบ
ตุ้บ
“โอ๊ย ดะ...เดี๋ยวก่อนรอหนูด้วย”
ทำไงล่ะทีนี้ กำลังจะก้าวขาขึ้นรถ มีผู้ชายวัยกลางคนที่ไหนไม่รู้เดินมาชนแล้วตัดหน้า แล้วข้อเท้ามันเจ็บเลยล้มก้นกระแทกพื้น แล้วรถบ้ามันก็ออกไปเลย
“รอก่อน” แต่ก็ไม่ทันแล้วกว่าจะพยุงตัวลุกขึ้นได้มันก็ไปไกลลิบ
“ฮึ เธอไม่ใช่แค่ตัวซวยของคนอื่นนะ ธีรดา แต่เป็นตัวซวยของตัวเองด้วย เอาไงล่ะทีนี้” จะทำไงได้ก็เดินสิ กว่ารถจะมาถึงป้ายก็อีกนาน หิวก็หิว เช้า เที่ยง คงต้องรวมเป็นมื้อเย็น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไข่เจียวตามเคย อาหารที่อร่อยที่สุดเพราะมีปัญญาซื้อกินได้แค่นี้
“เจ็บเป็นบ้าเลย” แต่เดินยังไม่ถึงสามก้าว ก็ไม่ไหวแล้ว
“ทำไมไม่มีเจ้าชายแบบในนิยาย มาช่วย เวลาแบบนี้นะ ถ้าทุกอย่างมันดูง่ายเหมือนในนิยายเหมือนในซีรีส์ก็คงจะดี” ตื่น ๆ เลิกเพ้อแล้วรีบกลับบ้านได้แล้วยัยบ๊อง!!! นี่แหละฉันคนที่บ้า ๆ บอ ๆ ชอบเพ้อฝันจินตนาการทุกอย่างไป แต่คนเรามีฝัน ดีกว่าไม่มีนิ ยิ้มเข้าไว้สิ่งเดียวที่จะทำให้มีความสุข อย่าไปคิดมากกับสิ่งที่มันยังมาไม่ถึง
แต่สิ่งที่ต้องคิด และคิดตอนนี้คือจะเดินยังไงให้ตัวเองไม่เจ็บ นี่แหละเรื่องยากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
1 ชั่วโมงผ่านไป
สรุปยังอยู่ที่เดิมนั่งรอรถเมล์ รออย่างไม่มีความหวัง รอจนจะมืดแต่ทำไมรถมันไม่มาสักที หิวก็หิวแทบจะแทะเล็บตัวเองกินแล้ว ถ้ากินอิฐ หิน ดินทรายแถวนี้ลงไปได้คงกินเข้าไปแล้ว
คงไว้ได้แค่กลิ่น
ที่ไม่เคยเลือนราง
ยังหอมดังวันเก่า
ยามเมื่อลมโชยมา
ทิ้งไว้เพียงอดีต
ที่ไม่เคยหวนมา
ซ่อนเธอไว้ในใจ
ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แค่นั่งฟังเพลงรอ อีกสัก 10 นาที ถ้าไม่มีรถมาคงต้องเดิน เจ็บหน่อยแต่ก็ต้องทน เกิดเป็นคนต้องไม่ยอมแพ้
“ขึ้นรถ”
“ไปขึ้นรถ คนเรียกไม่ได้ยินหรือไง แล้วเธอเป็นบ้าอะไรชอบทำให้ฉันเดือดร้อนอยู่เรื่อย”
แต่ระหว่างที่กำลังเพลิน ๆ ใครก็ไม่รู้เดินเข้ามาแล้วดึงหูฟังออก แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้นแหละ
“พี่พาร์ท” ถึงกับต้องฉีกยิ้มกว้าง เขามาได้ไง เขาเป็นห่วงฉันแน่ ๆ เลย
“เอาไปของเธอ” เขาทำเสียงแข็งพร้อมยื่นกระเป๋าเงินให้
“ของหนู?” ฉันรับจากมือเขาพร้อมเกาหัวทำหน้าสงสัยลืมไว้ตอนไหน? แย่จริง ๆ เลย
“เธอนี่มัน” เขาขบกรามแน่น ฉันไปทำอะไรให้ทำไมต้องดุ แล้วเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ ฉันก็ได้แต่คิดว่าไปทำหล่นไว้ตอนไหน ดีนะไม่ได้ขึ้นรถเมล์ไม่งั้นได้โดยด่าหูชาแน่
“นี่!! จะนั่งบื้อ อีกนานมั้ย” แต่ต้องตกใจเมื่อเสียงเข้มเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเขามันดูไม่สบอารมณ์เลย
“เรียกหนูเหรอ” ฉันชี้นิ้วใส่ตัวเองมองซ้ายขวา แต่ตรงนี้มันมีฉันคนเดียว
“…..” สายตาคมกริบที่จ้องมามันดูน่ากลัวมาก ก็ใครจะไปรู้ว่าเรียกก็ไม่เห็นบอกอะไร ไม่พูดใครมันจะไปรู้ ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษนะ ถึงจะได้รู้ไปเสียทุกอย่าง
จ๊อก ๆ
“อดทนอีกนิดนะ จะถึงห้องแล้ว” ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถอยู่ ๆ ท้องมันก็ร้อง ก็นี่มันจะหกโมงเย็นแล้ววันนี้ทั้งวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้ำหยดเดียว แต่ก็ได้แค่ข่มใจเอามือลูบท้อง พูดบอกมันเบา ๆ
จ๊อก ๆ
“ขอโทษค่ะ” แต่ไอ้ท้องบ้านี่มันก็ไม่เชื่อฟังจะร้องอะไรนักหนา
“…….” แล้วพี่พาร์ทเขาถึงกับพ่นหายใจแรง ๆ ออกมาอย่างรำคาญ
“ใกล้ถึงแล้วพี่จอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ” ถ้าจอดตรงนี้เดินอีกแค่ 500 เมตร ก็ถึงหน้าห้องเช่าแล้ว เห็นพี่เขาหงุดหงิดแบบนี้แล้วไม่อยากรบกวน แค่นี้มันก็มากพอแล้ว
“พะ...พี่จะไปไหน” แต่อยู่ ๆ เขาก็ตีไฟเลี้ยวกลับรถไปไหนไม่รู้
“ฉันไม่ หน้ามืดปล้ำเธอหรอก” เขาพูดแค่นั้นแล้วขับรถไปไหนไม่รู้ พอเห็นสายตาดุดันคู่นั้นก็ได้แต่นั่งจ้องหน้า จะพูดอะไรก็ไม่ได้เพราะตอนนี้มันหิวจนไม่มีแรงจะพูดอะไรแล้ว
“โอ๊ย” แต่อยู่ ๆ มันก็ปวดท้องขึ้นมา ปวดจนเหงื่อท่วมตัว มันปวดบิดอยู่ในท้องมันแสบ ๆ ยังไงก็ไม่รู้
“เป็นอะไรของเธอ” พี่พาร์ท หันมาถาม
“ปะ...เปล่าหนูไม่ได้เป็นอะไร” ฉันฝืนยิ้มให้เขาไป แค่นี้พี่เขาก็รำคาญจะตายแล้ว
“ปวดท้อง” เขามองมาที่มือที่กุมหน้าท้อง
“เธอนี่มัน!! โธ่เอ๊ย!!” แล้วพี่พาร์ท ก็ไม่พูดอะไรแต่กลับเร่งความเร็ว ซึ่งตอนนี้มันก็ปวดจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ เหงื่อมันเปียกโชกไปทั้งตัว...
