บทที่ 6 ไม่มีใคร

โรงพยาบาล

“……….” ตอนนี้ได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงมันขยับตัวไม่ได้เพราะปวดท้องมาก เหตุจากเพราะวันนี้ทั้งวันไม่ได้กินข้าว แล้วฉันก็ไม่มีญาติที่ไหนพี่พาร์ทเลยรับเป็นเจ้าของไข้ แต่โรงพยาบาลใหญ่แบบนี้คงจะแพงน่าดูแล้วจะเอาเงินที่ไหนจ่าย เฮ้อ

“ไว้เสร็จเรื่องทางนี้แล้วจะรีบกลับไปเคลียร์” เสียงพี่พาร์ทที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงห้องดังขึ้น

“……” ริมฝีปากบางเม้มปากแน่นเมื่อสายตาคมกริบคู่นั้นมองมา พร้อมร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นพี่จัดการแล้ว ดูแลตัวเองให้ดี” ไม่รู้ว่าเขาคุยกับใครแต่น้ำเสียงมันเต็มไปด้วยความห่วงใย ต่างจากสายตาที่มองฉันมันเต็มไปด้วยความรำคาญ

“ได้เดี๋ยวพี่จัดการให้จะมาเมื่อไหร่ก็บอก”

“อึก” ในขณะที่กำลังจะดันตัวลุกขึ้น มือหนาก็กดที่ไหล่ดันร่างเล็กกดให้นอนที่เดิม ทำเอาตกใจหัวใจหล่นวูบเลยทีเดียว

“งั้นเดี๋ยวพี่โทรหา แค่นี้นะ” เขาวางสาย ใบหน้าหล่อยื่นเข้ามาใกล้ ๆ

“อยู่นิ่ง ๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” เสียงเข้มดุดันเอ่ยขึ้น เอื้อมมือมาจับที่เส้นผม ฉันได้แต่มองเขาอย่างไม่กะพริบตา ทำไมผู้ชายคนนี้เขาดูอบอุ่นจัง เขาค่อย ๆ แกะผมที่ติดกับราวเตียงออกอย่างใจเย็น

กลิ่นน้ำหอมราคาแพง ผสมเข้ากับกลิ่นตัวที่เป็นเอกลักษณ์ พอมารวมกันมันเป็นกลิ่นของผู้ชายที่อบอุ่นมันสัมผัสได้แบบนั้น ถึงสายตาเขามันจะเย็นชา แต่เย็นชากับฉันนะเพราะเวลาที่พี่เขาอยู่กับคนอื่นเขาดูอบอุ่นสายตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่เขาจะมองฉันแบบนั้นมันก็ไม่แปลกเพราะเราไม่เคยรู้จักกัน เจอหน้ากันทีไรก็มีแต่สร้างเรื่องให้พี่เขารำคาญ

“ขอบคุณค่ะ” ยิ่งมองหน้าพี่เขาใกล้ ๆ เขาก็ยิ่งหล่อ ผิวขาวเรียบเนียนอมชมพู ไม่หยาบกร้านไม่เหมือนผู้ชายเลย ต่างจากผิวฉันที่ทั้งหยาบทั้งกร้านเพราะไม่เคยบำรุงอะไรเลย

“หนูหายแล้วขอตัวกลับก่อนนะคะ” สองมือค้ำยันเตียงจ้องหน้าไม่กะพริบตาเมื่อฉันพูดขึ้นแบบนั้น

“คือที่นี่มันแพงหนูไม่มีปัญญาจ่ายหรอก เงินในกระเป๋ามีแค่ไม่กี่ร้อยเองหนูกินข้าวให้ตรงเวลาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

“……” พี่เขาเงียบฟังที่ฉันอธิบาย

“แต่ฉันจ่ายไปแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ

“จ่ายแล้วเท่าไรคะ แล้วหนูจะเอาเงินที่ไหนจ่าย ตายแล้วเงินที่มีในบัญชีแค่หมื่นนิด ๆ แล้วหนูจะทำไง เอาแบบนี้ได้มั้ยพี่หนูออกตอนนี้เลยแล้วไปขอเงินที่พี่จ่ายไปคืนมาได้มั้ย” แค่มานอนยังไม่ถึงชั่วโมงเลยนะทำไมรีบจ่ายจัง

“สองหมื่น ส่วนนี่ยาเธอ หมอบอก นอนที่นี่สองคืนถ้าดีขึ้นก็กลับบ้านได้” พี่พาร์ท เอาใบเสร็จจ่ายเงินให้ดู แม่เจ้า สองหมื่นจะเอาเงินที่ไหนจ่าย

“หนูหายแล้ว หนูจะกลับบ้านค่ะ”

“อะ...โอ๊ย” แต่พอลุกขึ้นเท่านั้นแหละเหมือนใครเอามีดมากรีดท้องเลยเจ็บจนต้องนอนขดตัวนิ่ง

“อวดเก่ง” พี่พาร์ททำหน้าหงุดหงิด กดปุ่มฉุกเฉินที่หัวเตียงเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการ

“ฉีดยาแล้ว อีกหน่อยก็ดีขึ้นค่ะ แล้วอย่าลืมทานข้าวนะไม่งั้นจะปวดขึ้นมาอีก” ตอนนี้มันยังเจ็บ ๆ อยู่แต่ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ แต่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ก็ไม่เคยเจ็บมากแบบนี้มาก่อน มันเหมือนกระเพาะมันจะทะลุเลยมันปวดแสบปวดร้อนอยู่ข้างใน

“มีอะไรเรียกได้ตลอดนะคะ” เธอหันไปยิ้มให้พี่พาร์ทและหันมาส่งยิ้มให้ฉันที่ยังนอนนิ่ง ก่อนจะเดินออกไป

“เป็นไง อวดเก่งดีนัก ยังอยากกลับอีกมั้ยบ้าน” คนตัวโตเดินมานั่งลงข้าง ๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“……” ส่วนฉันได้แต่เงียบเพราะมันเจ็บจนไม่มีแรงจะพูดแล้ว

“กินข้าวจะได้กินยา”

“นะ...หนูยังไม่หิว” มันกินอะไรไม่ลงจริงมันปวดและรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอ้วกยังไงไม่รู้

“แต่เธอต้องกินหรืออยากปวดท้องตาย” เสียงเข้มพูดดุ ไม่ใช่แค่เสียงที่ดุสีหน้าแววตาเขามันก็ดุ

“……..” สุดท้ายก็ต้องพยายามดันตัวลุกขึ้นกินข้าว แต่กินเข้าไปแค่สองคำก็อ้วกออกมาหมด เฮ้อ ชีวิตให้มันได้แบบนี้สิ นี่สินะที่เขาว่ากันว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด

หลายวันผ่านไป

โรงเรียน

“เธียร เป็นอะไรไปกินข้าว” เสียงมะนาวเพื่อนในห้อง เรียกทำให้จิตใจที่เหม่อลอยไปไกลได้สติ

“ไปก่อนเดี๋ยวตามไป”

“รีบตามมานะ” ฉันได้แต่ยิ้มแห้ง ก็คนมันกลุ้มใจ เงินสองหมื่นไม่ใช่น้อย ๆ มันอาจจะไม่เยอะสำหรับคนอื่นแต่สำหรับ ธีรดา มันคือทั้งชีวิต ในบัญชีมีแค่หมื่นนิด กะว่าเย็นนี้จะเอาไปให้พี่พาร์ท เห็นครูบอก นัดกับพี่เขาไว้

“หมดหวังแล้วเธียรเอ๊ย” เงินที่เก็บสะสมไว้ว่าจะเรียนต่อ รูปที่วาดก็ใช่ว่าจะมีคนซื้อ มีแต่เพื่อน ๆ ที่ช่วยอุดหนุนจ้างให้วาดให้ ถ้ามีเงินซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็คงจะดี คงจะหาเงินได้ง่ายแต่จะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อล่ะ

“แต่ก่อนอื่นไปกินข้าวธีรดา” ฉันได้แต่พูดสั่งตัวเองก่อนจะเดินคอตกไปที่โรงอาหาร

“เธียร เป็นอะไรหน้าซึม ๆ” ตูมเอ่ยขึ้น

“แล้วรอยอะไรที่แขน” พร้อมกับตามที่เดินเข้ามาดูรอยเข็มที่แขน สองคนนี้เป็นฝาแฝดสุดฮอตของโรงเรียน

“รอยเข็มนิ” ตูมทำหน้าตกใจ

“พอดีเทียนไม่สบายนิดหน่อย” บ้านสองแฝด อยู่ใกล้กับห้องเช่าที่ฉันอยู่เราเลยสนิทกันพอสมควร

“เย็นนี้ว่างมั้ย แม่อยากให้เธียรไปสอน บอลลูนวาดภาพ” ตามเอ่ยขึ้น

“ว่าง ๆ ๆ ๆ” ตอบแบบไม่คิดเงินทั้งนั้น

“ขี้งกพอพูดถึงเรื่องเงินยิ้มหน้าบานกินข้าวเนี่ยซื้อมาให้แล้ว” มะนาวพูดแซวพร้อมข้าวไข่เจียวของโปรดวางลงต่อหน้า

“ขอบใจ อะ” ฉันควักเงินให้มะนาว

“ไม่เอา นาวเลี้ยงที่เธียรช่วยทำงานส่งครู ถ้าเธียรไม่ช่วยนาวไม่ผ่านแน่” มะนาวไม่มีหัวด้านศิลปะเลยฉันเลยช่วยสอนและช่วยแนะนำกว่าจะทำเสร็จก็เกือบแย่

“กิน ๆ ๆ ไว้เย็นนี้ กลับพร้อมกัน บอลลูนรอเธียรไปสอน เราก็จะเรียนด้วย” ตูมพูดขึ้นพร้อมตักข้าวใส่ปากป้อนฉัน

“ไอ้ตูม มึงอย่าเนียน กูจีบเธียรก่อน” ตามพูดแทรกพร้อมแทรกตัวนั่งกั้นกลางระหว่างฉันกับตูม

“พอเลย ๆ ๆ ทั้งสองคนไปไกล ๆ” มะนาวลุกขึ้นพร้อมแทรกตัวนั่งข้างฉันแทนสองแฝด

“แกสองคน หมดสิทธิ์ เธียร แฟนกู จริงมั้ยที่รัก” ไม่พูดเปล่ามะนาวมันทั้งกอดทั้งหอม

“…….” ฉันไม่ได้พูดอะไรแค่ยิ้มให้ทั้งสามคน ก็เล่นกันแบบนี้ประจำจนมันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถึงจะไม่มีพ่อแม่แต่ก็มีเพื่อนนี่แหละที่คอยให้กำลังใจ

ตอนเย็น

“ครูคะ” ฉันไปดักรอครูที่หน้าโรงเรียนเอกชน

“มีอะไรเธียร”

“หนูรบกวนฝากเงินนี่ไปให้พี่พาร์ทหน่อย ส่วนที่เหลือหนูขอเวลาอีกนิดแล้วจะคืนให้พี่เขาค่ะ” ฉันหยิบซองจดหมายที่ใส่เงินไว้ให้ครู

“เงินอะไร มันไม่ใช่น้อย ๆ นะเธียร” ครูเปิดดูเงินถามอย่างห่วงใย

“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยพี่เขาเลยให้ยืม หนูไปก่อนนะเพื่อนรออยู่” ฉันรีบวิ่งออกไปทันทีเพราะตูมตามรอนานแล้ว

พอมาถึงบ้านสองแฝดก็สอนน้องเหมือนที่เคยสอนทุกครั้ง น้องมีหัวทางด้านนี้อยู่แล้วที่แม่เขาให้มาสอน แค่อยากช่วยฉันแค่นั้นอันนี้ฉันรู้ดี เพราะที่จริงความรู้แค่นี้มันสอนใครไม่ได้หรอก ท่านแค่สงสารเลยหางานให้ทำแค่นั้น

“หนูเธียรกินข้าวด้วยกันนะวันนี้ แม่ทำกับข้าวเยอะเลย” แม่น้องบอลลูนเดินเข้ามาพูดพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น

“แต่…” มาทุกครั้งท่านก็ให้ทานข้าวด้วยทุกครั้ง มันรู้สึกเกรงใจ

“ไม่มีแต่ บอลลูนพาพี่ไปล้างมือได้เวลามื้อเย็นแล้ว เดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อน” ท่านก็ใจดีแบบนี้ทุกที

“ไปค่ะ พี่เธียร” เด็กน้อยวัย 10 ขวบเดินจูงมือฉันไปล้างมือที่ห้องน้ำ

“ใครมานะ พี่ภูพิงค์หรือเปล่า” ดูบอลลูนจะตื่นเต้นมาก

“พี่ภูพิงค์ลูกสาวเจ้านายคุณพ่อค่ะ เห็นคุณพ่อบอกฝากอะไรไม่รู้มาให้” แล้วเด็กน้อยก็วิ่งหน้าตาตื่นออกไป

“อยากมีครอบครัวแบบนี้บ้างจัง” ตั้งแต่พ่อแม่ตายก็ไม่เคยได้ของขวัญจากใครอีกเลย

แต่ไม่เป็นไร อยากได้อะไรก็ทำงานหาซื้อเอาเองภูมิใจกว่ากันเยอะ

โต๊ะอาหาร

“………” แต่แล้วสองขาก็ต้องหยุดเดิน เมื่อเห็นสายตาคู่ดุคู่นั้นมองมาที่ฉันแวบหนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับแม่น้องบอลลูน แต่ผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ คงจะเป็นคนที่บอลลูนพูดถึง ทำไมคนอื่นดูน่ารักสดใสผิวขาวเนียนแต่งตัวดี แล้วดูฉันสิ

“ตูม ตาม พอดีเราลืมไปว่ามีงานต้องทำเราขอตัวก่อนนะ” บ้านเขามีแขกฉันไม่ควรอยู่รบกวน

“ตามไปส่ง”

“ไม่ต้อง ๆ ๆ บ้านเราอยู่แค่นี้เอง แม่รอทานข้าวอยู่นะ ไปสิ” ฉันดันแขนตามก่อนจะรีบเดินออกจากบ้านทันที ไม่รู้สิมันรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ เวลาเห็นพี่พาร์ทนั่งยิ้มอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เฮ้อ...อกหักตั้งแต่ยังไม่รักมันเป็นแบบนี้สินะ

“เธอท่าจะบ้านะเธียร” แล้วก็ต้องหัวเราะตัวเอง อารมณ์เหมือนคนอกหักเลยตอนนี้ แต่จะอกหักได้ไงก่อนท่าจะบ้า

ซ่า!!!!

“ฝนบ้า”

แต่เดินยังไม่ถึงไหนฝนบ้าก็ดันตกแล้วตกอย่างไม่ลืมหูไม่ลืมตา

เปรี้ยง!!!!

“กรี๊ดดดดดดด”

สองมือปิดหูนั่งลงกับพื้นอย่างตกใจเมื่อสายฟ้าฟาดลงมาเสียงดังสนั่น

เปรี้ยง!!!

เปรี้ยง!!!

“แม่จ๋า เธียรกลัว อย่าทิ้งเธียรไปนะ” …...ธีรดา นั่งนิ่งไม่กล้าขยับตัวไปไหนเมื่อสายฟ้าฟาดลงมาอย่างต่อเนื่องพร้อมสายฝนที่โปรยปรายไม่ขาดสาย เด็กสาวนั่งตัวสั่นนึกถึงวันที่ตัวเองนั่งร้องไห้ตากฝนกอดร่างไร้วิญญาณของแม่อย่างหวาดกลัว…

บทก่อนหน้า
บทถัดไป