บทที่ 4

“อันน์” พศินหรี่ตาลง ในแววตาของเขาฉายแววอันตรายออกมา “เธอติดนิสัยอาละวาดแล้วหรือไง?”

“การแต่งงานนี้จะจบลงเมื่อไหร่ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะตัดสินใจได้”

ในใจฉันเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อย ฉันจึงเบือนสายตาหนี

“ฉันยอมถอยออกมาเอง ให้คุณไปแต่งงานกับคนที่คุณรัก ยังไม่พออีกเหรอ?”

“เธอใจกว้างขนาดนั้นเลยเหรอ?”

พศินหยิบไฟแช็กราคาแพงของเขาออกมาจากกระเป๋า กดเบาๆ เปลวไฟสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของเขา ทำให้ทั้งตัวเขาดูเยือกเย็นยิ่งขึ้นไปอีก

เขาสูบบุหรี่หนึ่งครั้งแล้วหันกลับมามองฉัน ก่อนจะพูดเรียบๆ ว่า “อันน์ เธอรักเงินจะตาย ถ้าตัดใจจากความร่ำรวยสุขสบายที่ตำแหน่งนายหญิงมอบให้ได้จริงๆ เธอคงไปตั้งนานแล้ว”

“ถ้ายังอาละวาดไม่เลิก ระวังจะได้ไม่คุ้มเสีย”

คนที่นอนเคียงหมอนคือคนที่รู้วิธีทำร้ายคุณได้เจ็บปวดที่สุดเสมอ

พศินรู้ดีว่าพูดอะไรแล้วฉันจะเสียใจ แต่เขาก็ยังทำ

ในสายตาเขา ฉันเป็นเพียงอันน์ที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อปีนขึ้นเตียงของเขาเพราะเงินมาโดยตลอด

ฉันก้มหน้าลง กะพริบตาช้าๆ ศักดิ์ศรีของฉันไม่อนุญาตให้แสดงความเสียใจออกมาแม้แต่น้อย

พอฉันเงยหน้าขึ้น กัญญาก็มายืนอยู่ข้างกายพศินแล้วส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ฉัน

“น้องคะ พี่ไม่ได้อยากจะกระทบความสัมพันธ์ของน้องกับคุณพศินจริงๆ นะคะ แต่เวลส์เป็นลูกของพศิน จะให้เขาต้องระหกระเหินอยู่ข้างนอกตลอดไปไม่ได้”

“ถ้ารู้ว่าน้องจะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ พี่ก็คงไม่พาเวลส์กลับมาแล้ว น้องคะ พี่ขอโทษนะ ตอนที่พี่รู้จักกับพศิน น้องยังไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเขาเลย ที่พี่ไปต่างประเทศก็เพื่ออยากจะอวยพรให้น้องสองคนอย่างจริงใจ...”

“พอได้แล้วกัญญา เลิกทำตัวน่าขยะแขยงสักทีได้ไหม? ถ้าเธออยากจะปล่อยมือจริงๆ ก็คงไม่ตั้งใจมาปรากฏตัวในเมืองเดียวกับพศินเป็นครั้งคราวหรอก แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าน้องสักที แม่ฉันมีลูกสาวแค่คนเดียว ฉันไม่มีพี่สาว”

“เธอกับแม่ของเธอเนี่ย ถอดแบบกันมาเป๊ะเลยนะ”

วินาทีต่อมา ในดวงตาของกัญญาก็มีน้ำตาคลอเบ้า ราวกับว่าเธอถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมอย่างมหันต์ แต่ฉันเห็นรอยยิ้มเยาะที่แวบผ่านแววตาของเธออย่างชัดเจน

เธอกำลังยั่วยุฉัน

เห็นแล้วฉันรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา

พศินขมวดคิ้ว แววตาของเขายิ่งดูเย็นชาลง

“จะไปพูดเรื่องพวกนี้กับเธอทำไม?”

“อันน์ อย่ามาอาละวาดที่บริษัทอีก”

เขาพูดจบก็ไม่มองฉันอีก ก้มตัวลงอุ้มเวลส์ขึ้นมา

ท่าทางของเขาช่างนุ่มนวลและคล่องแคล่ว

ถ้าไม่ได้อุ้มมาแล้วหลายครั้ง จะเป็นไปได้อย่างไร...

ในชั่วพริบตานั้น ดวงตาของฉันก็เจ็บแปลบอย่างรุนแรง

ใช่สิ ในความรักของพวกเขาสองคน ฉันเป็นแค่คนนอกที่ไม่สลักสำคัญอะไรเลย

ฉันไม่อยากจะหาเรื่องอัปยศให้ตัวเองอีกต่อไป จึงหันหลังแล้วเดินจากไปทันที

จนกระทั่งลงมาถึงชั้นล่าง ความรู้สึกหายใจไม่ออกที่ตามติดเป็นเงาก็ยังคงอยู่กับฉัน

ฉันนั่งแท็กซี่ตลอดทางกลับบ้านสุขุมวิท

จนกระทั่งถึงหน้าประตู คนขับแท็กซี่เตือนฉัน ฉันถึงได้สติกลับคืนมา

ฉันขึ้นไปบนตึก กลับไปยังห้องนอนของฉันกับพศิน

เมื่อมองดูของตกแต่งที่ฉันเลือกด้วยตัวเอง ความรู้สึกขมขื่นก็เอ่อล้นขึ้นมาในใจอย่างห้ามไม่อยู่

ผู้ชายคนนี้ที่ฉันทุ่มเทความกล้าหาญและความไร้เดียงสาทั้งหมดให้ การจะปล่อยวางเขาไปมันช่างยากเย็นสำหรับฉันเหลือเกิน

ถ้าไม่ยอมจากไปเอง ฉันก็จะต้องทนเห็นเขากับต้นเหตุที่ทำให้แม่ของฉันต้องนอนป่วยอยู่บนเตียง มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฉันทุกวัน

กัญญาทำให้ครึ่งชีวิตแรกของฉันกลายเป็นโศกนาฏกรรมยังไม่พอ ตอนนี้ยังจะมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฉันอีก

ฉันรักพศิน ดังนั้นจึงยอมทิ้งความหยิ่งทะนงทุกอย่าง

แต่ฉันจะไม่มีวันยอมให้กัญญามาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฉันเด็ดขาด

ฉันหยิบกระเป๋าเดินทางออกมา ยัดข้าวของของตัวเองลงไปลวกๆ พลางลูบแหวนแต่งงานบนนิ้วนาง สุดท้ายก็กัดฟันถอดมันออกมา

กระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาก มีทั้งหมดสามใบ คนรับใช้ในบ้านช่วยฉันยกไปวางไว้ที่หน้าประตู ฉันโทรศัพท์หามิ้นท์ อยากให้เธอมาช่วยรับฉันหน่อย

แต่กว่าเธอจะมาถึงก็ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมง

ฉันวางสายโทรศัพท์ พอหันกลับไปก็เห็นรถคาเยนน์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตรงข้ามประตูวิลล่าพอดี

รถคันนี้ดูไม่คุ้นตาเลย

ฉันเข็นกระเป๋าเดินทางเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยความสงสัย

เมื่อเห็นคนที่ลงมาจากรถชัดๆ ทั้งตัวฉันก็เริ่มสั่นเทา สั่นเพราะความโกรธ

“คุณมาทำไม?”

ฉันมองเคนท์ พลางนึกถึงแม่ของฉันที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้ ความเกลียดชังก็แผ่ซ่านไปทั่วใจ

“แกคิดว่าฉันอยากจะเห็นหน้าแกนักหรือไง?”

เคนท์แค่นเสียงเย็นชา

“หย่ากับพศินซะ”

เขาสั่งโดยปราศจากอารมณ์ใดๆ

ความโกรธของฉันพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

"เพราะอะไรฉันต้องฟังคุณ? อะไรกัน เมื่อก่อนคุณบังคับให้แม่ฉันหย่าเพื่อหลีกทางให้แม่ลูกคู่นั้นยังไม่พอ ตอนนี้ยังจะมาบังคับให้ฉันหย่าอีกเหรอ?"

ในแววตาของเคนท์มีเพียงความเย็นชาที่ไร้ที่สิ้นสุด

เขากอดอก มองฉันด้วยท่าทีหยิ่งผยอง

"ก็เพราะว่ากัญญาให้กำเนิดหลานชายคนโตของตระกูลภาณุ! ทันทีที่เธอได้เป็นนายหญิง ตระกูลเราก็จะสามารถเกาะเกี่ยวกับตระกูลภาณุได้ ไม่เหมือนแก ฉันเลี้ยงดูแกมาตั้งยี่สิบสองปี ไม่เห็นจะทำประโยชน์อะไรให้ตระกูลได้เลย"

ฉันกัดฟันจนหัวเราะออกมากับความเลือดเย็นของเขา

“งั้นเหรอ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณไม่รู้สึกผิดต่อแม่ฉันบ้างเลยเหรอ?! ที่ตระกูลพัศญาจะมีหน้ามีตาได้อย่างทุกวันนี้ ก็เพราะสินสมรสของแม่ฉันทั้งนั้น...”

“เมื่อก่อนนางนั่นแหละที่อยากจะตามฉันให้ได้ ไม่ว่าจะตายหรืออยู่ ตอนนี้ก็เป็นแค่คนเป็นที่เหมือนตายไปแล้ว แกจะพูดเรื่องพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าแกไม่ยอมหย่า ก็อย่าหาว่าฉันพลิกหน้าไม่รู้จักกัน”

เคนท์พูดด้วยสีหน้าราวกับเป็นเรื่องปกติ

ภาพของชายตรงหน้าซ้อนทับกับภาพเมื่อห้าปีก่อนที่เขาไล่ฉันออกจากงานแต่งงานอย่างเปิดเผย

ความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ในใจของฉันก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

“ดีสิ งั้นฉันจะคอยดูว่าครั้งนี้คุณจะพลิกหน้ายังไง? จะไล่ฉันออกจากบ้านเป็นครั้งที่สอง หรือจะจงใจไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แม่ฉันต่อ แล้วบังคับให้จดทะเบียนหย่า? เคนท์ คุณเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย”

ฉันยืดหลังตรง มองหน้าเขา

ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของฉัน ทำไมฉันต้องยอมหลีกทางให้กัญญาด้วย?!

ในเมื่อพวกเขาอยากให้ฉันหย่ามากนัก ฉันก็จะอยู่ให้พวกเขารำคาญใจเล่น

“อยากให้ฉันหย่าเหรอ?”

ฉันยิ้มร้ายกาจ มองใบหน้าที่ดำคล้ำของเคนท์แล้วพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “น่าเสียดายนะ พศินบอกว่าแค่ฉันยอมเลี้ยงดูเวลส์ ฉันก็ยังคงเป็นนายหญิงของที่นี่”

“แผนการของลูกสาวคุณคงต้องล่มแล้วล่ะ”

ฉันจงใจยกมุมปากขึ้น โทรหากัญญาต่อหน้าเขา แล้วยังเปิดลำโพงอีกด้วย

“กัญญา ส่งลูกชายเธอมาสิ ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนประเสริฐนักเหรอ? บอกว่าแค่อยากให้ลูกชายมีชีวิตที่ดีที่สุด ตอนนี้ฉันจะสนองความใจกว้างของเธอให้เอง อ้อ ใช่ ขอบคุณนะที่อุตส่าห์คลอดลูกชายให้ฉัน พูดตามตรงนะ ฉันก็กลัวหุ่นจะเสียหลังคลอดอยู่เหมือนกัน”

พูดจบ ฉันก็วางสาย

เคนท์โกรธจนอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง

“แกมันลูกอกตัญญู!”

“ก็หนูเป็นลูกพ่อนี่คะ! พ่อเป็นคนยังไง หนูก็เป็นคนอย่างนั้นแหละ ไม่เห็นต้องด่าตัวเองขนาดนั้นเลย”

ฉันกอดอก ในใจรู้สึกสะใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เคนท์ ฉันไม่ใช่แม่ฉันนะ แล้วก็ไม่ใช่คนอ่อนแอด้วย ในเมื่อคุณบีบให้ฉันหย่าให้ได้ งั้นเราก็จะได้เห็นดีกัน”

แววตาของเคนท์เปลี่ยนไปในทันที ราวกับหมาป่าที่ดุร้าย ถ้าเผลอเมื่อไหร่ก็พร้อมจะกระโจนเข้ามาฉีกเนื้อฉันไปสักชิ้น

“แกคิดว่าถ้าแกไม่หย่าแล้วฉันจะไม่มีวิธีจัดการหรือไง? อันน์ ที่ฉันมาหานี่ก็เพราะเห็นแก่ความเป็นพ่อลูกของเรา อย่าลืมสิว่าแม่ของแกยังนอนอยู่บนเตียงนะ”

“คุณกล้า!”

เมื่อพูดถึงแม่ ฉันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป

“ถ้าคุณกล้าแตะต้องท่านแม้แต่ปลายเล็บ ฉันจะลากพวกคุณทุกคนลงนรกไปด้วยกัน ยังไงซะฉันก็ไม่มีอะไรจะกลัวอีกแล้ว เคนท์ อย่าลืมสิว่าในตัวฉันก็มีเลือดเหมือนกับคุณไหลเวียนอยู่!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป