บทที่ 2 เกี้ยวรัก

“น้องหญิงดีต่อท่านเสมอ หวังว่าองค์ชายจะรับรู้ถึงไมตรี และปิ่นหงส์ประดับมุกประจำตัวนี้ ซู่ลี่ไม่คิดมอบให้ใคร ด้วยเป็นตัวแทน เป็นความไว้วางใจของน้อง...” องค์หญิงกล่าว นางหมายจะดึงปิ่นออกจากเรือนผมที่เกล้ามวยสูง แต่เติ้งไห่หลงรีบยกมือห้าม

“ช้าก่อนน้องหญิง ของสำคัญเช่นนั้นพี่มิอาจรับ” เขากล่าวเสียงเรียบ หากมันสะเทือนใจหญิงสาว และยามนั้นน้ำตานางคลอหน่วย

“อ๋องแปด ทะ ท่านหมายความเยี่ยงไร” น้ำเสียงพานซู่ลี่สั่น หัวใจก็ร้าวไหว นางเป็นถึงองค์หญิงเผ่าเฟยเทียน ยิ่งใหญ่ปานใดผู้คนทั้งใต้หล้าต่างรู้ดีและยำเกรง

“ดั่งคำที่เอ่ย ของบางสิ่งเหมาะจะอยู่ในที่ทางของมัน พี่เป็นเพียงชายเสเพล ไฉนจะกล้ารับปิ่นหงส์ฝังมุกมาเก็บไว้กับตัว”

“วันนี้ท่านไม่รับ แต่วันข้างหน้า...ซู่ลี่จะทำให้ท่านมิอาจปฏิเสธ!”

หญิงงามเผ่าเฟยเทียนเอ่ยจบก็สะบัดค้อนวงโตให้เติ้งไห่หลง ก่อนสืบเท้าก้าวเดินจากไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

ตั้งแต่บ่ายเติ้งไห่หลงร่ำสุรา จนเมามายถึงกับประคองตัวแทบไม่ไหว แต่เขามิวายอยากชมแสงสีของค่ำคืนในเทศกาลชมโคมไฟ ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ ปีในคืนแรกของปีใหม่ที่มองเห็นพระจันทร์เต็มดวง เติ้งไห่หลงไม่อยากอยู่เพียงลำพังในเรือนใหญ่ติดภูเขาและมีดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่มารดาเคยปลูกเอาไว้

ชายหนุ่มผู้สง่างามสั่งเฉิง บ่าวรับใช้ให้พาออกมาด้านนอก แต่คืนนี้ดูจะเอิกเกริกไปสักนิด เพราะเขาแทบจะครองสติไม่ไหว

“หอใดมีของสวยงาม จงนำทางข้า” เติ้งไห่หลงประกาศเสียงดัง

ยามนี้เฉิงเหนื่อยใจเป็นที่สุด เมื่อครู่เขาจอดเกี้ยวที่หอคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่เพราะมีผู้คนมากมาย จึงต้องพาเติ้งไห่หลงหลบเลี่ยงออกมา

“ไปหอทางใต้ดีไหมขอรับ ที่นั่นคงยังพอมีหญิงงามอยู่บ้าง” เฉิงบอกเจ้านาย ตอนนี้อีกฝ่ายส่งเสียงอ้อแอ้

“คืนนี้ข้าอยากได้คนร่วมดื่มสุรา และพูดคุยถึงเรื่องราวที่สุมอยู่ในอก” เติ้งไห่หลงแจ้งความประสงค์

“ผู้น้อยจะรีบพาองค์ชายไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” สิ้นคำนั้นเฉิงสั่งการให้คนเร่งนำเกี้ยวออกเดินทางทันที แต่ช่วงเวลานั้นท้องฟ้าแปรปรวนหนัก มีสายลมวูบใหญ่พัดผ่าน ลานการแสดงกลางแจ้งจึงประสบกับความโกลาหล

กระนั้นพลุไฟที่ถูกจุดยังส่องสว่างบนท้องฟ้า เสียงพลุ เสียงตบมือ เสียงโห่ร้อง ดังไปทั่วพื้นที่กว้าง เติ้งไห่หลงสั่งให้หยุดเกี้ยว และเปิดม่านออกเพื่อรับชมความงามรอบๆ ตัว

ดวงตาคมดุจพญาอินทรีมองไปยังท้องฟ้า แล้วก็ไพล่คิดถึงภาพความหลังอันแสนหวาน

เขาชอบชมแสงสีสวยงามเช่นนี้กับมารดา บนฟ้ามีพลุไฟ ด้านล่างตามจุดต่างๆ ประดับด้วยโคมที่สร้างเลียนแบบสัตว์ของเทพเจ้า และบนผืนน้ำมีโคมไฟลอยส่องแสงสวยงามจับตา

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนโบกมือให้เคลื่อนเกี้ยวไปข้างหน้า ความจริงเขาไม่ได้อยากร่ำสุรากับเหล่านางโลมแม้แต่น้อย ทว่าความสับสนในใจที่เกิดขึ้นยากเกินอธิบายให้ใครล่วงรู้ กระทั่งเกี้ยวหลังใหญ่เคลื่อนไปถึงกลางสะพานข้ามแม่น้ำกว้าง ห้วงเวลานั้นเกิดปรากฏการณ์บางอย่างบนท้องฟ้า

เฉิงและคนหามเกี้ยว รวมถึงชาวบ้าน ต่างชี้ชวนกันมองดูแสงสว่างที่พุ่งลงมาราวกับฝนดาวตก แต่มันมีขนาดใหญ่จนพวกเขาพรั่นพรึง

แสงสว่างจัดจ้าทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต้องยกมือปิดหน้าปิดตา พวกเขาล้วนอกสั่นขวัญแขวน และมิอาจมองเห็นสิ่งใดนานเกือบชั่วอึดใจ ก่อนจะมีเสียงดังโครมใหญ่ เสียงนั้นเกิดจากแรงปะทะที่พุ่งตกลงมาใส่หลังคาเกี้ยวขององค์ชายแปด

เติ้งไห่หลงจุกเจ็บในตอนแรก เพราะร่างเล็กบอบบางตกลงมากระแทกตักเขา ก่อนจะนอนนิ่งๆ ราวกับเห็นเขาเป็นเบาะรองรับชั้นเยี่ยม

จวบจนเติ้งไห่หลงรู้แน่ชัดว่ามีคนตกทะลุเกี้ยว ซึ่งเป็นเพียงเด็กน้อย หาใช่มือสังหารหวังปลิดชีพเขา ยามนั้นดวงตาคมเพ่งพิศอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน ร่างบอบบางนี้มีผิวขาวเนียนละเอียด ดวงหน้านับว่างามล่มเมืองยากหาผู้ใดเทียบเคียง

จากนั้นนิ้วเรียวยาวและแข็งแกร่งจึงช่วยจัดเส้นผมยาวสลวยของอีกฝ่ายให้เข้าที่ และเช็ดเลือดที่แผลเหนือคิ้วซ้ายของคนงาม

เติ้งไห่หลงมองดวงตาที่หลับพริ้ม เขาเห็นแพขนตายาวงอน คิ้วโก่งรับกับใบหน้า ปากอิ่มสวย และคางเรียวได้รูป คนที่นอนบนตักนี้งดงามประหนึ่งเทพธิดาจากสรวงสวรรค์

“เจ้าเป็นคนของผู้ใด คิดลอบทำร้ายข้าเช่นนี้ อยากรับโทษประหารใช่หรือไม่” เขาแกล้งทำเสียงดุดัน แต่แววตาเจือความอ่อนโยน มิได้อยากกระทำรุนแรงตามที่กล่าวออกไปสักนิด

คนร่างเล็กตัวหอมในชุดสีขาวแสดงท่าทีแปลกประหลาด ราวกับเพิ่งออกมาจากท้องมารดาเป็นครั้งแรก หลังจากลืมตาแล้วก็อ้าปากกว้าง แล้วหุบ หุบแล้วอ้าขึ้นใหม่ พอคลำหาเสียงตนเองพบก็ร้องเสียงใส

“อะ อุ๊ยๆ อ๊ายๆ ทะ ทำไม มะ มัน อุ่นและแข็งโป๊กอย่างกับศิลาเยี่ยงนี้”

น้ำเสียงนั้นหวานอยู่มาก แต่กิริยาบ่งบอกว่าร่างที่อยู่บนตักเขาหาใช่ดรุณี

“วาจาเจ้าช่างประหลาดล้ำ และยังฉวยโอกาสสัมผัสเนื้อตัวข้า ระวังจะถูกตัดนิ้วทั้งสิบ อีกทั้งยังจ้องใบหน้าผู้อื่นอย่างจาบจ้วง เช่นนี้คงไม่แคล้วถูกควักลูกตาด้วย” เติ้งไห่หลงแกล้งขู่อีกนิด แต่ปฏิกิริยาอีกฝ่ายดูไม่ได้หวาดกลัวเขา

ดวงหน้าเรียวเล็กแสดงความฉงนฉงาย ก่อนดีดตัวลุกขึ้นนั่ง และนั่งอยู่บนตักชายหนุ่มราวกับสนิทสนมกัน

“แน่แล้ว ย่อมเป็นผู้อื่นมิได้ อ๋องแปดคนชีกอจากตำหนักบุปผามิรู้โรย!”

คนที่ทะลุมิติมายังโลกในนิยายกล่าวอย่างล่วงรู้ เพราะเขาเป็นคนเขียนนิยายเรื่องนี้ ‘กุนซือน้อยประดับใจ’

บทก่อนหน้า
บทถัดไป