บทที่ 4 ชีวิตย่อมสำคัญ

“แม่นางเหลียน”

หวังตันเรียกหญิงสาวเช่นนั้น ด้วยชื่อ และไม่ให้ใช้แซ่เดิม ตามความประสงค์ของตงเยี่ยหรง ซี่งนางไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสะใภ้ห้า หรือภรรยาของไคซี ผู้ที่แม้หากตายไปแล้วกลับไม่พบศพ

ดังนั้นนางก็เป็นเพียง นางบำเรอผู้หนึ่งที่ได้หลับนอนกับตงเยี่ยหรง ทว่าหวังตันผู้นี้ เป็นคนเก่าแก่ของสกุลตง เคยเลี้ยงดูคุณชายหลายคน ร่วมถึงเป็นพี่เลี้ยงวัยเด็กแก่ตงเยี่ยหรงด้วย เขานับถือนางเป็นเสมือนพี่สาวคนหนึ่ง แม้อีกฝ่ายจะปากแข็ง ทั้งแสร้งทำใจร้ายต่อซ่างเป่าเหลียน แต่หากเขาไม่เมตตานาง ไฉนจะให้คนเรียกตัวหวังตัน เพื่อให้พาอีกฝ่ายไปยังเรือนห่างไกลที่เมืองหวางอิน

ซ่างเป่าเหลียนหันมามองหวังตัน ยามนี้แม้จะมีความเสียใจอยู่บ้าง แต่ได้สติคืนมาจนครบ ผิดแต่ผู้เป็นเจ้าของร่างปิดกั้นความทรงจำหลายสิ่งเอาไว้ จึงยากที่นางจะล่วงรู้สิ่งต่างๆ ในเวลานี้ ส่วนความทรงจำในภายหลังของโลกคู่ขนาน ก็ยังไม่เปิดเผยต่อนางอย่างเต็มที่ รู้แต่ว่าตนพอมีความสามารถด้านดูแลคนป่วย และบางครานางก็เห็นตนอยู่ท่ามกลางคนเจ็บที่กำลังรอรับการปฐมพยาบาล

“เมื่อถึงจุดพักม้าข้างหน้า ข้าจะให้สาวใช้ต้มยาให้ท่าน ดื่มจนหมดเทียบที่หมอสั่งไว้ จึงจะมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์” คำพูดของหวังตัน ยิ่งสะท้อนภาพและเสียงในคืนที่ผ่านมา ซ่างเป่าเหลียนอยากสลัดเรื่องร้ายๆ ให้พ้นตัว หากดูเหมือนว่า ตงเยี่ยหรงมีอิทธิพลต่อนางมากเหลือเกิน

“ข้าจะทำตามที่แม่บ้านหวังแนะนำ”

นางตอบอีกฝ่ายเสียงเรียบๆ และนั่งรถม้าไปสักพักก็ถึงจุดที่หวังตันบอก

สถานที่แห่งนั้นเป็นโรงเตี้ยมขนาดเล็ก ผู้คนสัญจรบางตา มีพ่อค้าเร่ กับข้าราชการเดินทางไกลไปตามเมืองต่างๆ รวมถึงคนหนุ่มที่ต้องการไปสอบวัดความรู้เพื่อเป็นขุนนาง

ซ่างเป่าเหลียนแม้จะแต่งชุดเสื้อผ้าสีเข้ม หากนางโดดเด่นยิ่ง ใบหน้าขาวสะอาดหมดจด ผิวกระจ่างใส ยิ่งกว่านั้นคือกลิ่นหอมละมุนอ่อนจากเรือนกาย เป็นกลิ่นคล้ายดอกเหมย สดชื่น เย้ายวน ทั้งสร้างความพิศวง

ขณะที่นางเตรียมรับถ้วยยาต้มที่มีกลิ่นเหม็นหืนจัดมาดื่ม หญิงสาวได้ยังมือไว้ และมองไปยังสาวใช้ที่มีนามว่า สิงตู้เหยา

“แม่บ้านหวัง... ยาถ้วยนี้ไม่เหมือนก่อนหน้าที่ได้ดื่ม”

ซ่างเป่าเหลียนเป็นลูกสาวของเจ้ากรมโยธา แม้ถูกเลี้ยงดูนอกเมือง ไม่ได้เข้าจวนหลัก ด้วยมีดาวหายนะ ต่อฮูหยินคนใหม่ของบิดา ทว่านางพอมีความรู้ อ่านออกเขียนได้ ฝ่ายวิญญาณสาวที่มาสวมร่างงดงามนี้ คือแพทย์หญิงห้องฉุกเฉิน อย่างไรก็แตกฉานหลายสิ่ง เช่นนี้จึงมีความช่างสังเกต

หวังตันนิ่วหน้า และตอนนั้นก็ล้วงหยิบเข็มเงินจากสาปเสื้อ แล้วตรวจสอบน้ำแกงระงับการตั้งครรภ์

ภาพที่ปรากฏในอึดใจต่อมาก็คือ ปลายเข็มนั้นเป็นสีดำ!

จากนั้น หวังตันส่งสัญญาณให้บ่าวชายรู้ เพื่อจับกุมตัวสิงตู้เหยาไว้ป้องกันการหลบหนี

“แม่นางเหลียน โปรดระวังตัว ดูเหมือนว่ามีคนคิดปองร้ายท่าน” หวังตันบอกเช่นนั้น ซ่างเป่าเหลียนจึงเพ่งสายตาไปที่สิงตู้เหยา หากไม่ใช่การจับผิด หรือคิดร้าย นางเพียงแค่สงสัย ทั้งไม่ปักใจเชื่อว่าสาวใช้ผู้นี้จะวางยาพิษตน เด็กสาวยังใสซื่อเกินไป ทั้งอ่อนด้อยในหลายสิ่ง

“ไม่ใช่บ่าวนะแม่นางเหลียน บะ บ่าว กลัวถ่านที่เตรียมมาจะหมดระหว่างทาง เลยไปขอใช้ห้องครัวของโรงเตี๊ยมด้านหลัง เพื่อต้มน้ำแกง และเฝ้าดูอยู่ตลอด คาดสายตาเพียงนิดเดียว เพราะชามที่จะใส่น้ำแกงตกแตก เลยไปขอยืมคนงานด้านใน พอกลับมาก็รีบยกหม้อยาลง แล้วนำมาให้ท่านดื่มทันที ดูสิเจ้าคะ ยังร้อนอยู่เลย”

ซ่างเป่าเหลียนฟังแล้ว สับสนอยู่สักหน่อย และใบหน้าที่ดื้อรั้น ทั้งยังอวดดีของสิงตู้เหยาที่เคยเห็นนั้นเปลี่ยนไป ยามนี้นางกลัวบ่าวชายที่ดูแลรถม้า คนผู้นั้นเป็นทั้งทหาร และมีฝีมือดี เรียกได้ว่าแม่ทัพตงโหดเหี้ยมเพียงใด ลูกน้องที่เขาฝึกมากับมือย่อมได้รับนิสัยเช่นนั้นมาไม่มากก็น้อย

“อยากถูกหักนิ้ว หรือตัดหูก่อนดี เจ้าถึงจะสารภาพเรื่องทั้งหมดให้ละเอียด” บ่าวชาย นามโจวซ่งกล่าวเสียงเข้มๆ และมันส่งผลให้สิงตู้เหยากลัวอย่างลนลาน จนนางเผลอถ่ายเบาเรี่ยราด

ทว่าทุกอย่างไม่จบเพียงเท่านั้น เกิดความวุ่นวายตามมา ราวกับเป็นหายนะที่ซ่างเป่าเหลียนต้องเผชิญ “แม่นางเหลียน ข้าว่าเรารีบกลับขึ้นรถม้าเถิด ชักช้าอาจมีคนโยนความผิดให้เราต้องติดคุกได้” หวังตันเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี นางวางเงินไว้ที่โต๊ะ พร้อมพยักเพยิดให้โจวซ่งลากตัวสิงตู้เหยาไป ทว่ามีเสียงเอะอะขึ้นพร้อมคนของโรงเตี้ยม ทหารอีกสามนาย มุ่งตรงมายังโต๊ะด้านนอกที่ซ่างเป่าเหลียนนั่งอยู่

“นั่น... นางออกมาจากห้องครัว ข้าสงสัยว่าจะเป็นผู้ใช้ยาพิษ จนทำให้มีคนป่วยในตอนนี้”

เด็กในครัวชี้มือมาทางสิงตู้เหยา เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เชื่อมโยงกับโต๊ะอาหารด้านใน ที่มีคนกินบะหมี่เนื้อเป็ด แล้วหมดสติไป ซึ่งหนึ่งในนั้นมีผู้อาการหนักหายใจรวยริน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป