บทที่ 10 10
เอมวิกาเดินตามคุณปรุงจิตเข้าไปในครัว ปากเธอบอกไม่อยากอาหาร แต่พอเห็นสิ่งที่หญิงชรายกมาวางให้ที่โต๊ะ น้ำลายเธอแทบหยดกับสีสันและกลิ่นหอมที่โชยมา
“นี่อะไรคะคุณยาย”
“ไม่เคยเห็นเหรอ นี่เขาเรียกว่าพิซซ่า ลองชิมสิ มายายตัดให้”
“ไม่เคยได้กินหรอกค่ะของแบบนี้ ถ้าแม่กับน้องอยู่ใกล้คงจะดี เอมจะแบ่งให้ทุกคนได้ชิม”
คำรำพันของหญิงสาวคุณปรุงจิตได้แต่ถอนใจ “อดทนไว้นะหนูเดี๋ยวสักวันก็เป็นวันของเรา หนูจะสั่งให้คนในบ้านกินกี่ถาดก็ได้”
“ค่ะคุณยาย แต่คงไม่ใช่ในเร็วนี้”
“มนุษย์เราก็อยู่ได้ด้วยความหวังกันทั้งนั้น ขอแค่ไม่สิ้นหวัง สิ่งที่รอคอยคงมาถึงสักวัน”
“ค่ะ” เอมวิกาหยิบซ้อมจิ้มอาหารเข้าปาก จากที่คิดว่ากลิ่นและสีสันน่ากินก็กลายเป็นว่าไม่อร่อย รสชาติจืดชืดไม่น่ากิน
คุณปรุงจิตมองเห็นทุกอิริยาบถได้แต่ถอนหายใจ “ดูทำหน้าสิ ไม่อร่อยเหรอ”
หญิงสาวไม่ตอบ เธอเพียงแค่ส่งยิ้มจืดชืดให้แทน ฝืนใจตักพิซซ่าใส่ปากด้วยความเกรงใจหญิงชราอีกสองสามคำก่อนจะวางช้อนลง “เอมอิ่มแล้วค่ะคุณยาย กินได้แค่นี้เอง”
“ไม่เป็นไรหรอกนะหนู ได้กินบ้างก็ยังดีพอให้มีแรง ขึ้นไปพักเถอะ จะนอนหลับสักตื่นก็ได้ สีหน้าหนูเพลีย ตาก็โรยมาก ถ้วยชามไม่ต้องเก็บเดี๋ยวยายเก็บเอง”
เอมวิกายืนลังเลด้วยความเกรงใจคนแก่ที่ต้องมาเก็บตามหลังสิ่งที่เธอทำเลอะ แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายยกมือผลักที่หลังเบาๆ เธอจึงจำใจเดินออกมา จะนอนสักหน่อยตามคำแนะนำของคุณปรุงจิต เธอรู้สึกปวดหัวที่ขมับข้างขวาเป็นระลอก เธอไม่รู้ว่าอาการปวดในครั้งนี้จะใช่โรคไมเกรนหรือเปล่า ความเครียดสะสมอาจทำให้เธอเป็นก็ได้
หญิงสาวเดินกุมขมับมาถึงห้องแต่เธอยังไม่อยากนอน อยากนั่งพักเงียบๆ เพื่อใช้ความคิด
เธอเปิดประตูหลังห้องก้าวออกไปสู่ระเบียง กวาดตามองโน่นมองนี่เพื่อให้ความอึดอัดในใจได้ผ่อนคลาย ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ไม่ว่าเธออยากปล่อยวางแค่ไหน สุดท้ายเธอก็กลับไปคิดถึงบ้าน คิดถึงคนทางโน้น ไม่รู้ว่าป่านนี้แม่กับน้องจะอยู่กันยังไง จะมีอะไรกินกันหรือเปล่า
เธอคิดอยากขอเบิกเงินจากนายจ้างล่วงหน้าสักก้อนเล็กๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดกับคุณระย้า ด้วยความเกรงใจ และอะไรๆ อีกหลายอย่างที่เธอไม่กล้าพูด
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูห้องดังระรัว หญิงสาวชะเง้อมองก็เห็นคุณระย้ากำลังเดินเข้ามา ในมือของเธอมีนมแก้วใหญ่
“คุณน้า”
“จ้ะน้าเอง เห็นคุณยายบอกว่าหนูกินอะไรไม่ได้ น้าเลยเอานมมาฝาก แล้วก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
“ค่ะ” เอมวิการับแก้วนมจากมือผู้สูงวัยด้วยความเกรงใจ เห็นสายตาที่มองตรงมาก็เลยยกแก้วขึ้นจิบไปบ้างเล็กน้อย
“ดื่มให้หมดแก้วเลยจ้ะจะได้มีแรง”
“ค่ะ” เธอกลั้นใจยกแก้วเทนมกรอกปากจนหมด “หมดแล้วค่ะ”
“ดีจ้ะ” หญิงสูงวัยมองพินิจใบหน้าหวาน
เอมวิกาขยับตัวตรง เท้าชิดกัน แต่มือกลับขยับยุกยิก เหลือบตามองคุณระย้าเป็นระยะ “คุณน้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับเอมหรือคะ”
“จ้ะ มีหลายเรื่องที่น้าจะคุยด้วย”
“ค่ะ เรื่องอะไรบ้างคะ”
หญิงสูงวัยเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างราวเหล็ก “มานั่งกับน้าที่นี่สิ เรื่องที่จะคุยมันยาว”
“ค่ะ” เอมวิกาทำตามอย่างว่าง่าย เธอเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่ห่างจากคุณระย้าไปเล็กน้อย
“อืม คืออย่างนี้ เจ้านายของน้าโทรมา สั่งให้น้าพาหนูไปธนาคารพรุ่งนี้ เงินงวดแรกจะถูกโอนเข้าบัญชีหนู แต่น้าเดาว่าหนูคงจะไม่มีบัญชีธนาคาร น้าจึงต้องพาหนูไปเปิด”
“ค่ะ เอมไม่มีบัญชีธนาคาร”
“เปิดบัญชีแล้วหนูจะโอนเงินไปให้แม่กับน้องก็ได้นะ”
“แม่ก็เหมือนเอมนี่แหละค่ะ ไม่มีบัญชีธนาคาร ” เธอตอบเสียงแผ่วเบา “แค่จะกินยังไม่ค่อยจะมีกินเลยค่ะคุณน้า จะเอาเงินที่ไหนไปเปิดบัญชี”
“เอ ถ้าอย่างนั้นจะเอาไงดี” คุณระย้าทำท่าคิดหนัก
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “เอมก็ไม่รู้ค่ะ คิด...ไม่ออกเหมือนกัน”
“เอาเถอะ ไม่เป็นไรเรื่องนี้เราค่อยคุยกันอีกที มาพูดกันต่อถึงเรื่องงาน” หญิงสูงวัยเลือกใช้คำว่างานที่ดูจะน่าฟังกว่าคำอื่น “คืนนี้หนูเตรียมตัวให้พร้อมนะเจ้านายของน้าจะเข้ามาหา”
หัวใจสาวน้อยหล่นวูบ ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ยกมือขึ้นกดที่อกข้างซ้าย “คืนนี้เลยหรือคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น
“จ้ะคืนนี้” เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดคุณระย้าก็เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปตบไหล่อีกฝ่ายแรงๆ “ในเมื่อตัดสินใจอย่างนี้แล้ว ช้าเร็วก็ต้องเผชิญหน้ากัน หนูไม่ต้องกลัวไปนะ เจ้านายน้าเป็นคนดี เขาจะอ่อนโยนกับหนู”
เอมวิกาสูดลมหายใจเข้าปอด สบสายตาที่มองมาอย่างเข้าใจ “ค่ะคุณน้า”
