บทที่ 2 2
“อุ้มบุญก็คืออุ้มท้อง มีลูกให้เขา เอ่อ นายจ้างนั่นแหละ” น้ำลายหญิงสูงวัยเหนียวหนืดขึ้นมาทันทีที่ต้องอธิบายหน้าที่ของคนอุ้มบุญให้หญิงสาวฟัง
“คุณน้าหมายถึงจะให้เอมรับอุ้มท้องลูกของเจ้านายคุณน้าหรือคะ”
“จ้ะ ก็ประมาณนั้น”
“เอ่อ” หญิงสาวครุ่นคิด “วิธีการนี่คือให้หมอเอาน้ำเชื้อฉีดเข้ามาผสมไข่หรือคะ” เธอถามเสียงตะกุกตะกัก แววตาที่เหลือบมองคนตรงหน้ามีความกังวลและไม่แน่ใจ
“เปล่าจ้ะ เจ้านายน้าไม่ชอบแบบนั้น คือท่านไม่ชอบแนววิทยาศาสตร์หรอกจ้ะ ท่านก็...จะมานอนกับแม่ของลูกจนกว่าจะท้อง แล้วหลังจากนั้นจะเลิกมานอนด้วย แต่ไม่ต้องห่วงว่าท่านจะกวนนานนะ เจ้านายน้าท่านมีสุขภาพแข็งแรง เอิ่บ น้าคิดว่าครั้งสองครั้งก็น่าจะท้อง”
หญิงสาวอ้าปากหวอ คิดไม่ถึงว่ายังมีคนโรคจิตคิดไม่เหมือนชาวบ้านอยู่อีก เธอเคยได้ยินข่าวมาบ้างเหมือนกันเรื่องอุ้มบุญ แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเองเช่นนี้
“ว่าไงจ้ะหนูเอม สนใจจะรับงานนี้ไหม ถ้ารับน้าจะพาหนูไปตรวจที่โรงพยาบาล”
“ตรวจอะไรหรือคะ”
“ก็ตรวจว่าสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นหมัน พร้อมที่จะตั้งครรภ์ได้” คุณระย้าไม่คิดจะบอกเหตุผลอีกอย่างที่สำคัญในการไปโรงพยาบาล นั่นก็คือการตรวจว่าหญิงสาวคนนี้ผู้นี้ยังคงความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่หรือไม่ และกำลังตั้งครรภ์ลูกของใครอยู่ในท้องหรือเปล่า แต่เธอก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา มิตรภาพเพิ่งเริ่มต้น เธอไม่ควรทำให้หมางใจกัน “ว่าไงหนู สนใจไหม”
“ไม่ค่ะ เอมกราบขอบคุณคุณน้านะคะที่พามากินข้าว แต่งานแบบนี้เอมรับไม่ได้จริงๆ ค่ะ ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นคนแรกและคนสุดท้ายของผู้ชายที่เรารัก และเอมคิดว่าคงทำใจไม่ได้กับการที่จะนอนกับใครก็ไม่รู้เพื่ออุ้มท้องลูกของเขาแลกกับเงิน”
“จ้ะน้าเข้าใจ ในเมื่อไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครบังคับหนูได้ ถึงน้าจะชอบ อยากได้หนูมาเป็นแม่ของเจ้านายน้อย แต่ในเมื่อหนูไม่ทำก็ไม่มีใครบังคับ แล้วนี่หนูจะกลับบ้านเลยหรือว่าจะอยู่หางานต่อ”
“เอม”
“น้าอยากจะแนะนำให้กลับบ้านนะ อดอยากยากจนยังไงก็ยังมีบ้านอยู่ อย่ามาตะรอนๆ ในถิ่นที่เราไม่คุ้นอยู่เลย ดีไม่ดีถ้าถูกหลอกไปขายตัวจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่”
“ค่ะ เอมก็อยากกลับบ้าน”
“ดีจ้ะ อืม ถ้าอย่างนั้นเอานี่ไป” คุณระย้าเปิดกระเป๋าส่งเงินให้หญิงสาวสองพันบาท “น้าไม่ได้ใจดีหรือใจบุญกับคนทั่วไปหรอกนะ แต่เห็นหนูแล้วเกิดความเวทนา รับไว้เถอะ เอาไปเป็นค่ารถกลับบ้าน ที่เหลือก็เก็บไว้ซื้อข้าวกินระหว่างทาง”
เมื่อมีคนหยิบยื่นเงินค่ารถให้กลับบ้าน หญิงสาวก็เกิดความลังเล เธอคือความหวังของแม่กับน้องๆ เธอจะทำลายความหวังของทุกคนเหรอ เธอเป็นลูกสาวคนโตที่เคยรับปากพ่อก่อนตายว่าจะดูแลแม่กับน้องให้สบาย พ่อตายไม่ถึงปีเธอก็ไม่มีปัญญาทำตามสัญญาเสียแล้ว
“หนูรับเงินไปสิ”
“เอ่อ คุณน้าคะ คือเอม”
“หนูทำไมเหรอจ้ะ”คุณระย้าเลิกคิ้วขึ้นมอง “หรือว่าสองพันยังไม่พอ”
“เปล่าค่ะ สองพันบาทนั่งรถกลับบ้านพอค่ะ แต่เอมอยากถามว่าถ้าตกลงรับงานนี้เอมจะได้ค่าอุ้มท้องเท่าไรหรือคะ”
“ถ้าหนูตกลงรับงานนี้ ค่าจ้างรวมทั้งหมดหนูจะได้เงินถึงสองล้านบาท”
“ห๊ะ สองล้านบาท” เอมวิกาตาโต เผลอตัวตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เงินเยอะขนาดนี้เธอสามารถนำไปให้แม่สร้างบ้านปูนหลังเล็กที่พออยู่กันได้สี่คนแม่ลูก แทนกระท่อมเก่าผุพังแถมหลังคารั่วได้เลยทีเดียว
“ใช่จ้ะสองล้าน หนูจะเปลี่ยนใจมารับงานก็ได้นะ”
“ถ้าเอมรับงานนี้ เอมจะได้เงินก่อนสัก…สักครึ่งหนึ่งไหมคะ” สายตาที่จ้องมองคุณระย้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ถ้าหนูเอมตกลง เงินสดห้าแสนบาทจะอยู่ในมือหนูทันทีที่ไปตรวจร่างกายแล้วหนูผ่าน และอีกห้าแสนหนูจะได้ทันทีที่หนูท้อง ส่วนอีกหนึ่งล้านบาทหนูจะได้ก็ต่อเมื่อหนูคลอดลูก”
“ค่ะ”
“ถ้าเด็กเป็นผู้หญิงหนูจะได้เท่าที่ในสัญญาระบุคือสองล้าน แต่ถ้าหนูคลอดลูกชายหนูจะได้เงินพิเศษไปสร้างตัวอีกห้าแสนบาท”
เอมวิกายกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมตามไรผม ทั้งที่นั่งอยู่ในรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ
“จะลองคิดดูก่อนไหม”
เงินสองล้านบาทหรืออาจจะถึงสองล้านห้าถ้ามีลูกชาย ชาตินี้ทั้งชาติเธอคงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ความสาวของเธอถ้ามีราคาขนาดนี้เธอก็พร้อมที่จะขาย คนอื่นที่รู้อาจจะมองว่าเธอโง่ แต่สำหรับเธอเริ่มมองว่ามันคือธุรกิจ
“ว่าไง”
“มีคนทำงานนี้หลายคนไหมคะ” เธอถาม
“มีคนหนึ่งแล้วที่รับทำ ถ้าหนูรับอีกคนจะเป็นสอง”
“ทำไมถึงหลายคนคะ” เธอถามถึงสิ่งที่สงสัย
“เจ้านายของน้าเป็นคนรวย เขากลัวว่าตระกูลเขาจะด้วนเพราะเขาไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากผูกมัด แต่เขาก็ต้องมีทายาทสืบสกุล” คุณระย้าเล่าไปเรื่อย ทั้งที่เรื่องจริงมีความซับซ้อนมากมาย
“อ้อ” เอมวิกาพยักหน้า เธอเคยอ่านนิยายในห้องสมุดของโรงเรียน พระเอกที่ร่ำรวยมักไม่อยากแต่งงานให้เป็นภาระ
“ว่าไงจ้ะ”
“เอมตกลงค่ะ เอมรับงานนี้”
