บทที่ 7 ผู้ชายนัดยิ้ม
.
.
.
Beauty Part
หญิงสาวที่มีเครื่องหน้างดงามค่อยๆ ปรือตามองไปรอบๆ ห้องด้วยความงุนงง ใช้แขนข้างหนึ่งเท้าไปทางด้านหลังเพื่อยันตัวลุกขึ้น มืออีกข้างวางลงที่ต้นคอหมุนบิดวนไปมาคลายอาการเมื่อยขบ และเพราะทำแบบนั้นจึงรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง
“อะไรว่ะ คอเคล็ดหรอ?” บ่นพึมพำแล้วลองขยับดูอีกหน
“โอ๊ะ! ซี้ดดดดดด” สูดปากเสียงดังด้วยความเจ็บปวด เมื่อหันไปมองรอบๆ ตัวก็เห็นเพื่อนสาวนั่งทำหน้าเป็นห่วงเป็นใย ถัดไปไม่ไกลนัก มีชายหนุ่มสุดหล่อที่ทำให้บิ้วตี้ตาวาวขึ้นมาทันที
“นุ้งวิ๊นนนนน” ร้องเรียกพร้อมถลาเข้าหาอีกครั้ง หากแต่เจ้าของชื่อกลับยกเท้าขึ้นรอ เป็นการบ่งบอกว่าถ้าหากเข้าใกล้มากกว่านี้ศพอาจจะไม่สวยเป็นแน่ จึงทำให้บิ้วตี้ยอมนั่งลงตามเดิม ก่อนจะทำตาปริบๆ มองคนนั้นทีคนนี้ที
“แล้วนี่มาทำอะไรกัน” ร้องถามในขณะที่มือก็ขยับนวดต้นคอไปพลาง
“นี่มึงจำไม่ได้?” เดียร์ถามด้วยความไม่แน่ใจนัก ขมวดคิ้วมองจ้องปฏิกิริยาของเพื่อนสาวไปพลาง
“จำอะไร กูต้องจำอะไรอะ?” ทำหน้าตาที่คิดว่าโมเอ้ที่สุดส่งไป แต่ได้รับการเบ้ปากมองบนคืนมาแทน
“มึงนึกดูดีๆ” ว่าจบก็ขยับไปนั่งข้างๆ กับชายหนุ่มรูปงามผิวสีแทนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเล็ก
“อืม จำได้ว่าน้องๆ บอกว่ามีแขกมาดูห้อง กูเลยตามไปดูด้วย แล้วก็เจอวินวิน แล้วภาพก็ตัดเลย” พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเบ้หน้าทำหน้าเหยเกเมื่อความเจ็บปวดรวดร้าวโจมตีจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งหลังคอ
“มึงโดนเตะก้านคอไงอีเหี้ย! ภาพมึงถึงได้ตัด เนี้ยะ! กูกับน้องต้องช่วยกันพามึงลงมานอนพักเนี้ยะ!” เมื่อได้ฟังแบบนั้นบิ้วตี้ก็หันไปมองเด็กหนุ่มรุ่นน้องในทันที
“ขอโทษที พอดีว่าเท้ามันไวเกินไปหน่อย”
“อ้อ อ่อ เลี้ยงเมียด้วยลำแข้ง เมียไม่ถือ~~~~”
“โดนเตะก้านคอเกือบตายมึงยังไม่เข็ดอีกรึไงฮะ!” บิ้วตี้ทำหน้ามุ่ยใส่ ก่อนจะทำหน้างงอีกหน
“แล้วนี่กูมานอนที่ร้านได้ไง”
“กูกับน้องช่วยกันพามึงลงมาไง” เดียร์เอ่ยตอบ ทำให้บิ้วตี้ตาวาว จนเดียร์สังเกตเห็น และรู้ทันว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ คงจะฝันหวานไปว่าน้องรูปหล่ออุ้มขึ้นในท่าเจ้าหญิง แล้วพาลงมานอนพักที่โซฟานี่สินะ ทั้งที่ความจริงแล้ว น้องมันจับแขนทั้งสองข้างเดียร์จับขา พากันลากลงมาจากชั้น 3 ของร้านต่างหากเล่า!!
เดียร์เห็นหน้าเพ้อฝันของเพื่อนก็ขี้คร้านจะอธิบาย ปล่อยให้มันมโนต่อไปนั่นล่ะ
“แล้วนี่วินวินกำลังหาหอพักอยู่หรอ” บิ้วตี้ที่หลุดออกจากห้วงมโน เอ่ยปากถามอย่างสนใจใคร่รู้ วินมองจ้องนิ่งๆ แล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะตอบคำถามนั้นกลับไป
“อืม ตอนแรกก็ว่าจะเอาห้องนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว” ว่าจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วหันไปบอกลากับหญิงสาวอีกคน
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีผมต้องไปทำงานต่อ ส่วนห้องผมไม่เอาแล้วครับ” ว่าจบก็ทำท่าจะเดินออกจากร้านไป แต่เพราะเสียงที่ตะโกนออกมาดังลั่น ทำให้วินต้องหันกลับไปมอง
“พี่ลดราคาให้!!!” หลังจากที่ตะโกนออกไป ก็หันไปถามเพื่อนสาวว่าเสนอราคาให้น้องไปเท่าไหร่ เมื่อพูดคุยอยู่สักพัก จึงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเอ่ยปากบอก
“พี่ลดให้ 50% เลย เพื่อวินวินคนเดียววววว สนใจป่าวววว” คิ้วของวินถึงกับกระตุก ก่อนจะหมุนตัวกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งเอ่ยปากถาม
“1,750 บาท?” บิ้วตี้พยักหน้าหงึกๆ ในขณะที่วินหรี่ตามอง ก่อนจะเอ่ยปากอีกหน
“1,500 ได้ไหมเจ๊ แค่ 250 บาทเอง ลดให้หน่อยนะ” เดียร์ได้ฟังก็ตาโตอ้าปากค้าง
“อห. (โอ้โห) นี่น้องมึงยังหน้าด้านต่ออีกหรอ!! ลดราคาให้ครึ่งหนึ่งนี่แม่งไม่ได้อะไรแล้วนะ!”
“ได้!”
“อีบิ๊ววววววว” เดียร์แทบจะเข้าไปดึงทึ้งหัวของเพื่อนสนิท ที่ยอมลดค่าหอพักจนแทบจะปล่อยให้เช่าฟรี
“นี่ว่าที่ผัวกูในอนาคตนะ อีกหน่อยก็อยู่ฟรีแล้วววว” บิ้วตี้ขยับเอาหัวไปถูไถกับลำแขนแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม วินปรายมองเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มาทำสัญญาเช่าหอเลยดีไหมครับ?”
What!! เงินนี่มันทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ สินะ!!!
เดียร์ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ กับความสามารถในการเปลี่ยนสีของน้องมันอย่างทึ่งจัด ก่อนจะทำหน้าเหม็นเบื่อ แล้วลุกขึ้นไปหยิบเอกสารสัญญาเช่ามาให้ แล้วละทิ้งไปดูงานส่วนอื่นๆ ของร้านแทน คร้านจะบ่น กูละเพลีย!!
.
.
.
Winner Part
วินและบิ้วตี้พูดคุยเรื่องต่างๆ ของสัญญา กำหนดค่าเช่าห้อง วางเงินมัดจำ และกำหนดการเข้าพัก ตลอดการพูดคุยนั้นวินมักจะโดนลวนลามอยู่เสมอๆ หากแต่ก็กัดฟันทนเพราะคงหาค่าเช่าที่ราคาถูกสุดๆ แบบนี้ที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว และในท้ายที่สุดวินก็ได้รับกุญแจมาถือไว้ในมือ ก่อนจะขอตัวลากลับ เพราะต้องไปทำงานต่ออีก โดยที่มีหญิงสาวสองคนขันอาสามาส่งให้ถึงร้าน แต่วินก็ใช้มือยัน เท้ายัน เข่ายัน เพื่อไล่หญิงสาวทั้งสองให้กลับไปทำงานในร้านของตัวเอง แล้วจึงก้าวเท้าเดินตามทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงผับที่มีพี่โจ้เป็นเจ้าของ
“เป็นไงบ้างมึง” ไอ้เพื่อนตัวเล็กมันรีบปรี่เขามาถาม สองมือกระโดดเกาะแขนทำหน้าตาเหมือนหมารอเจ้าของ เชื่อว่าหากมีหูมีหาง มันคงจะสะบัดส่ายไปมาอย่างลุ้นระทึก
“เออ ได้หอพักละ ไว้พรุ่งนี้จะย้ายออก”
“เย้!” วินหรี่ตามอง ก่อนจะถามออกไปดังที่ใจคิด
“มึงจะเย้ทำไม?” คำถามนั้นทำให้ไอ้เจถึงกับชะงัก ก่อนจะตอบอ้อมแอ้มกลับมา
“ก็ดีใจไง ที่มึงหาที่นอนได้แล้ว ไม่ต้องเร่ร่อนออกไปหาที่อื่นอยู่”
“ให้มันจริง กูดูมึงออกไอ้เตี้ย” วินชี้หน้าคาดโทษ ในขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่ส่งยิ้มให้หน้าแป้นแล้น
“พวกมึงทำอะไร ไปทำงาน!!” เสียงของโจ้ดังขึ้นพร้อมกับตบหัววินกับเจไปกันคนละที ซึ่งทั้งสองคนก็ลูบหัวตัวเองปอยๆ ก่อนที่ไอ้เตี้ยประจำกลุ่มมันจะทำหน้ามุ่ยแล้วหันสะบัดหน้าไปอีกทาง แล้วเดินหนีไปทันที วินมองเพื่อนตัวเล็กที่ผละออกไปทำงานของตัวเองตามหน้าที่แล้ว แต่ใครบางคนยังคงมองตามตาละห้อย วินตบลงที่บ่าของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านเบาๆ แล้วเอ่ยปากบอก
“มันไม่ชอบให้ใครเล่นหัว พี่เป็น ผัว มันก็น่าจะรู้อยู่” ว่าแล้วก็ผละออกมา ทิ้งให้อีกคนทำหน้าเหวอ ตกใจกับความลับที่ถูกเปิดเผยไว้เพียงลำพัง
วินเดินจากมาแล้วตั้งใจทำงานของตัวเองเต็มที่ จวบจนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน เมื่อทุกคนพากันกลับไปจนหมด วินจึงเดินสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะกลับขึ้นไปที่ชั้น 3 ของผับ ซึ่งเป็นห้องที่เอาไว้ใช้หลับนอนของผู้เป็นเจ้าของ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปวินก็ต้องชะงักกับภาพที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเริ่มต้นบ่น
“ขอล่ะ ถึงผมจะรู้แต่อย่าโจ่งแจ้งมากจะได้ไหม” พูดแล้วส่ายหน้าไปมา มองคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟา โดยที่เปลือยท่อนบนเอาไว้ส่วนท่อนล่างสวมใส่เพียงผ้าขนหนูผืนเล็กให้พอที่จะปกปิดอะไรๆ ได้บ้าง ในขณะที่เพื่อนตัวเล็กอีกคนก็ยืนหน้าแดงก้มหน้าลงต่ำอยู่ที่ข้างๆ โซฟา โดยที่สวมใส่เสื้อผ้าครบทุกชิ้น สองมือนั้นจับกุมชายกางเกงของตัวเองไว้แน่นด้วยความประหม่า หันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเกิดความกระดากอายเกินกว่าจะทนไหว
“มึงแม่ง..... ไสหัวออกไปไป๊!” โจ้เสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด แล้วจับดึงคนตัวเล็กให้มานั่งลงบนตักตามเดิม ส่วนไอ้เจนั้นก็ขยับตัวหนี ย้ายลงไปนั่งข้างๆ แทน
“เออ ไว้พรุ่งนี้ก่อน เดี๋ยวกูจะรีบย้ายออกเลยพี่มึง แต่คืนนี้ขอล่ะ ให้กูนอนอย่างสงบๆ เถอะ”
“เหอะ” โจ้ร้องออกมาอย่างทนไม่ไหว ขยับตัวลุกขึ้นไปเตะเด็กปากมากไปหนึ่งที แต่พี่มึง!! งูมึงออกแล้วนั่น!!!
“ตาผม!! ตาผมบอดแล้ว!!” วินร้องโวยวายออกมา ยกมือขึ้นปิดตาตัวเอง ในขณะที่โจ้ก็โบกหัวไปอีกหนึ่งที ร้องตะโกนบอก
“กูเตะมึงไหม!! มึงจะมาตาบอดอะไร๊!!!”
“งูมึงออกอะไอ้พี่ ฮึ้ย! ตากู!!” โจ้กลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย แล้วจึงหมุนตัวหันหลังกลับ หันไปยีหัวคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟา
“รอกูแป๊บ ขอแต่งตัวก่อน” ว่าเสร็จก็เดินผละไป ไอ้เจเองก็พยักหน้ารับ โดยที่มีวินนั่งมองอยู่นิ่งๆ
“มึงกับกู เดี๋ยวมีเคลียร์” วินพูดเสียงนิ่ง ดวงตาจ้องเขม็ง ในขณะที่เจก็กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เพียงไม่นานนักโจ้ก็เดินออกมาจากห้องนอน ด้วยสภาพ...... เกงบอลตัวเดียว
“นี่พี่มึงจะไปสภาพนี้?” วินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว โจ้ยักคิ้วให้เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบกลับมา
“เสียเวลาถอด” วินทำหน้าเอือมใส่ ก่อนที่โจ้จะพูดอีกหน
“กูยกห้องให้อีกวัน กูจะไปนอนกกเมีย ไว้พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวกูมาช่วยขนของ เสร็จแล้วก็รีบๆ ไสหัวออกไปซะ” ว่าจบก็จับมือของคนตัวเล็ก แล้วดึงเบาๆ ให้เดินตามไปด้วยกัน
ทันทีที่เสียงประตูปิดลง ความเงียบสงบก็กลับคืนมาอีกครั้ง หากแต่วินยังคงมองจ้องบานประตูนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะผละไปจัดการอาบน้ำแต่งตัวและล้มตัวลงนอนบนโซฟาตัวเดิม ภายในหัวสมองครุ่นคิดเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนสนิท
วินไม่รู้ว่าเจกับพี่โจ้ไปสปาร์คกันตอนไหน ไม่รู้ว่าคบกันมานานมากเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่พี่มันเริ่มให้ความสนใจกับเพื่อนตัวเล็กของเขา แต่เขาพึ่งจะสังเกตเห็นเมื่อไม่นานมานี้เอง ทั้งสองคนพูดคุยกันบ่อยขึ้น พี่โจ้ดูแลไอ้เจดีกว่าคนอื่นๆ งานหนักไม่ให้ทำ จนมันแทบจะนั่งว่างเป็นตุ๊กตาประดับร้าน นั่งคิดเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์ อาหารไม่ได้เสิร์ฟ ลานบาร์ไม่ได้เฉียด เหล้าเบียร์ไม่ได้เข้าใกล้
คิดไปคิดมาก็พึ่งจะรู้ พี่โจ้สั่งย้ายงานของมันจากเด็กเสิร์ฟไปเป็นบาร์เทนเดอร์ จากบาร์เทนเดอร์ไปเป็นแคชเชียร์ และสุดท้ายก็หยุดนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งนั้น คนที่มีโอกาสได้พูดคุยก็คือพนักงานในร้านด้วยกันเอง คิดราคาอาหารกับค่าเหล้า รับเงินมาแล้วทอนเงิน ในขณะที่เจ้าของร้านนั่งคิดบัญชีอยู่ภายในห้องด้านหลัง ถ้าคิดทบทวนตามนี้ ก็คงจะเกิดขึ้นตั้งแต่ 8 เดือนก่อน....
ตอนแรกพี่โจ้บอกแค่ว่าเจ้าเพื่อนคนนี้ตัวเล็กเกินไป และท่าทางไม่ค่อยแข็งแรง ถึงได้ย้ายตำแหน่งไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จบลงที่เด็กคิดเงิน แต่มันน่าแปลก ตัวเขาเองทำงานที่นี่มาถึง 1 ปีเต็ม เรียกได้ว่าตั้งแต่เข้าปี 1 มาก็เริ่มต้นทำงานกับพี่โจ้มาตั้งแต่ตอนนั้น ช่วงเวลา 4 เดือนที่หายไปนั้นคือช่วงที่ทั้งคู่ตกหลุมรักกันไหม อันนี้วินก็ไม่แน่ใจ แต่อย่างหนึ่งที่จำได้คือ เมื่อ 8 เดือนก่อนนั้น คือเดือนเกิดของเพื่อนตัวเล็กพอดี
อ่า.... ทั้งคู่คงจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น
คิดแล้วถอนหายใจ ไม่ใช่เพราะเสียใจที่เพื่อนเป็นเกย์ เก้ง กวาง หรืออะไรทำนองนั้น แต่รู้สึกนอยด์หน่อยๆ ที่มันเลือกจะปิดบัง แม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนที่ได้เรียกได้ว่าสนิทที่สุด อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา แต่มันก็ยังคงปิดปากเงียบ คิดพลางถอนหายใจอีกครั้ง แล้วปิดเปลือกตาลง จมลงสู่ห้วงนิทราในที่สุด
ในเช้าวันถัดมา วินก็จัดการเก็บข้าวของทั้งหมดใส่กระเป๋า แล้วนั่งรอให้พี่โจ้กลับมาที่ห้อง เพื่อใช้รถขนของไปทีเดียว แต่รอแล้วรอเล่า พี่มันก็ยังไม่โผล่หัวมา จวบจนกระทั่งเวลาสายของวัน วินก็หมดความอดทน ใช้โทรศัพท์โทรตามยิกๆ จนในที่สุด ปลายสายก็มีเสียงตอบรับกลับมา
[ฮัลโหล...]
“ไอ้พี่ มึงอยู่ไหน” วินถามเสียงนิ่ง ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงส่งเสียงงัวเงียดังมาตามสาย
[อยู่ห้อง ทำไม (อื้อออ) ] ตอบกลับไป พร้อมกับเสียงครางเบาๆ ดังให้ได้ยิน จนทำให้วินหมดความอดทน ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
“มึงเลิกกกเมียก่อนได้ไหมไอ้พี่!! ไหนว่าวันนี้จะมาช่วยผมย้ายของไง!!”
[มึงก็ย้ายเองเลยสิว่ะ!! กูจะนอนกับเมียกูโว้ยยยยย] น้ำเสียงที่ส่งมาบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหงุดหงิดที่ถูกขัดขวางการนอนหลับพักผ่อน
“ถ้ามึงไม่มาช่วยกูนะไอ้พี่ กูจะเกาะกับมึงเป็นปลิงแบบนี้นี่แหละ!! ไม่ยงไม่ย้ายแม่งแล้ว!!”
[ได้ไงว่ะ! นั่นห้องกู้ววววววว] เสียงปลายสายตะโกนตอบกลับมา และได้ยินเสียงสวบสาบของที่นอน ทำให้วินยกยิ้มมุมปาก แล้วกดตัดสายในทันที คาดว่ารออีกเพียงไม่นานนัก เจ้าของผับและเจ้าของห้องพักแห่งนี้จะปรากฏตัวขึ้น
และมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ เมื่อพบว่าทั้งไอ้เจและพี่โจ้ ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้องในอีก 20 นาทีให้หลัง พี่โจ้ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ ในขณะที่เพื่อนตัวดีเปิดปากหาวน้ำตาเล็ด
“ไปขนของดิว่ะ” พี่โจ้พูดพร้อมกับโบกมือไล่ ทำให้วินเริ่มต้นขนของ ไอ้เจก็เหมือนกัน แต่ไหล่เล็กบางกลับถูกรั้งเอาไว้ ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“เราไม่ต้อง ไปนั่งไป ปล่อยให้ไอ้วินมันทำ” หลังจากนั้นทั้งสองคนซุบซิบกันอีกเล็กน้อย ไอ้เพื่อนตัวดีก็หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมา ก่อนจะเดินไปทั้งตัวนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ต้องให้ใครมาบอกก็รู้เลยว่าทั้งสองคนคงพูดเรื่องอะไรสักอย่างที่ออกแนวทะลึ่งตึงตังแน่ๆ ไม่งั้นไอ้เตี้ยเพื่อนเขาคงไม่ทำตัวว่านอนสอนง่ายแบบนี้
วินยักไหล่แล้วเดินขึ้นเดินลงไปข้างล่างพร้อมกับข้าวของเต็มมือ โดยที่มีพี่โจ้คอยช่วยขนของให้อีกแรง เมื่อขนทุกอย่างขึ้นรถหมดแล้ว ทั้งสามคนก็พากันออกจากผับ มุ่งตรงไปที่ร้านเสริมสวยเปิดใหม่ วินคอยบอกทางเป็นระยะ จนกระทั่งรถมาจอดอยู่ที่หน้าร้าน วินก็ใช้คีย์การ์ดเปิดประตู แล้วช่วยกันขนของเข้ามาไว้ภายในตรงทางเดิน วางกองไว้ที่หน้าประตูทางเข้า
“วินวิ๊นนนนนน” คนที่วินตั้งป้อมให้เป็นตัวอันตรายต่อร่างกายอันดับหนึ่ง ส่งเสียงกรีดร้องแปดหลอดดังมาจากภายในร้านเสริมสวย ทำให้ทั้งลูกค้าและพนักงานหันมามองเขาเป็นตาเดียว วินสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพยักหน้าให้พี่โจ้กับไอ้เจช่วยกันขนของเข้ามา โดยปล่อยให้ใครอีกคนนั้นยิ้มเหงือกแห้งอย่างไม่คิดจะสนใจมอง
“เค้าช่วยน้าาาาา” บิ้วตี้ส่งเสียงอีกครั้ง พร้อมกับหยิบฉวยกระเป๋าเสื้อเอามาถือไว้แน่น วินเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ ดังนั้นแล้วบิ้วตี้จึงฉีกยิ้มเต็มดวงหน้า แล้วรวบเอากระเป๋า 3 ใบไปถือไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือโต๊ะรีดผ้าและที่แขนก็หนีบเอาโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กไว้
การกระทำนั้นเรียกให้สายตาของบุคคลทั้ง 3 หันไปมองด้วยความทึ่งจัดกับความสามารถในการแบกข้าวของ ของบิ้วตี้ ก่อนที่หญิงสาวคนงามจะหันมาส่งยิ้มให้อีกหน แล้วเริ่มต้นก้าวเดินขึ้นบันได วินสังเกตเห็นว่าที่ต้นแขนนั้นเกิดแนวกล้ามปูดโปนออกมา บ่งบอกว่าผู้หญิงคนนี้แข็งแรงไม่น้อย ถึงได้มีกล้ามใหญ่ขนาดนั้น ถ้าเทียบกันกับไอ้เจเพื่อนของตน ไอ้เจก็แพ้ราบคาบอย่างไม่ต้องสงสัย
วิน เจ และโจ้ ต่างพากันช่วยขนของลงมากองไว้ หลังจากนั้นจึงถือข้าวของคนละไม้คนละมือ เอาไปให้เยอะที่สุด แล้วพากันเดินขึ้นชั้น 3 ของตัวอาคาร เมื่อขึ้นมาถึงชั้น 2 ก็เจอกับบิ้วตี้ที่กำลังเดินลงมาพอดี วินจึงร้องบอกว่าของข้างล่างหมดแล้ว ดังนั้นสาวเจ้าจึงแย่งของที่ถือไว้ในมือเอาไปถือไว้เอง แล้วพาเดินนำไปที่ห้องพัก
ทันทีที่มาถึง วินก็แปลกใจเล็กน้อยเมื่อของทั้งหมดที่บิ้วตี้ขนขึ้นมาทีแรกนั้นวางกองอยู่กลางห้อง ประตูเปิดอ้าออกจนสุดบาน เพื่อตัวเล็กวางของทั้งหมดลงที่พื้นรวมกับของอื่นๆ แล้ววิ่งไปที่หน้าต่างบานใหญ่ ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ว๊าวววววว เห็นต้นไม้ด้วย!!” พี่โจ้ที่วางของลงแล้วก็ขยับเดินเข้าไปหา ลูบเส้นผมคนตัวเล็กเบาๆ แล้วพูดคุยราวกับอยู่ในโลกส่วนตัว ส่วนวินนั้นหันไปมองสาวประเภทสองที่ยังคงยืนอยู่ภายในห้อง ตั้งใจจะกล่าวขอบคุณ หากแต่คนๆ นั้นกำลังทำปากจู๋รอคอยท่าอยู่ แถมยังขยับเข้ามาใกล้มาขึ้นเรื่อยๆ จนวินถึงกับผงะออก เอ่ยถามเสียงนิ่ง
“ทำอะไร” บิ้วตี้ชะงัก แล้วลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะเอียงคอให้อย่างน่ารักน่าชัง กะพริบตาปริบๆ
“ก็วินวินจะขอบคุณเค้ามะใช่หรออออ นี่ไง เค้าจะเอาจุ๊บๆๆ อ้ะ” คิ้วของวินกระตุก กลอกตาไปมา ก่อนจะยกมือขึ้นยันหน้าของคนที่กำลังขยับเข้ามาใกล้เพื่อรับจูบให้ถอยออกห่าง
“โอเค เจ๊จะเอาจุ๊บๆ ใช่ไหม งั้นรอแป๊บหนึ่ง” ว่าจบก็เปิดกระเป๋าค้นหาของอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงหยิบคว้ามาถือไว้ในมือ ยื่นส่งไปตรงหน้า
“เอาไป จุ๊บๆ ของเจ๊น่ะ....” บิ้วตี้มองด้วยอย่างอึ้งๆ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปรับเอาจุ๊บปาจุ๊บรสสตรอว์เบอร์รีมาถือไว้ วินกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยบอกสำทับไปอีกหน
“ขอบคุณที่มาช่วยขนของนะครับ”
.
.
.
Beauty Part
บิ้วตี้ก้มหน้าลงมองอมยิ้มในมือ สลับกับมองคนตรงหน้าไปมาอยู่หลายครั้ง พร้อมกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวว่า...
ใช่หรอว่ะ!!! กูอยากได้จูบโว้ยยยย แบบจูบแลกลิ้นอ้ะ!! มึงจะเอาอมยิ้มมาให้กูทำม้ายยยยยยยย มึงจะนัดกูไปยิ้มหรอ!! ถ้ามึงนัดกูก็จะไป!!
ไอ้หัวใจบ้านี่ก็หยุดเต้นซะทีจะได้ไหม! มึงจะเต้นอะไรนักหนา!!
บิ้วตี้บ่นอุบอยู่ภายในใจ ก่อนจะแกะอมยิ้มออกแล้วส่งเข้าปากด้วยใบหน้ามู่ทู่ ถลึงตามองเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเอาอมยิ้มออกมาจากปาก ใช้มันชี้หน้าคาดโทษ
“อย่าเผลอนะนุ้งวิน สักวันนะสักวัน” ว่าจบก็เดินสะบัดผมออกจากห้อง ปล่อยคนทั้ง 3 ทิ้งเอาไว้ให้จัดการข้าวของกันเอาเอง ทันทีที่ประตูปิดลง บิ้วตี้ก้มหน้ามองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะฮัมเพลงเดินลงจากตึกไป มุ่งตรงไปที่ร้านของตน
“แหมมมมมม พอผู้มาเนี้ย เดินตามตูดผู้เลยนะมึ้งงงงงง” เสียงของเดียร์ที่กระแหนะกระแหนดังขึ้น ส่วนมือนั้นทายาย้อมผมลงบนศีรษะของลูกค้าอย่างชำนิชำนาญ
“น่าาาา ก็นิดหนึ๊งงงงงง” บิ้วตี้เอาอมยิ้มออกจากปาก แล้วหันไปตอบเพื่อนสาว ขยิบตาส่งวิงค์ให้อีกหนึ่งที หลังจากนั้นก็ขยับไปยืนอยู่ข้างๆ แล้วเริ่มสวมถุงมือเพื่อช่วยทำสีผมให้ลูกค้า
“แล้วนี่เป็นห่าอะไร ต้องเอาอมยิ้มมาแดก อารมณ์ไหนของมึง” บิ้วตี้ยกยิ้มหวาน ก่อนจะเอ่ยปากทั้งๆ ที่ยังคาบอมยิ้มเอาไว้อยู่
“ผู้ชายนัดยิ้มกู” พูดแล้วยิ้มร่าด้วยความอารมณ์ดี ต่างจากเดียร์ที่ทำตาโตเบิกกว้าง ตะโกนออกมาเสียงดัง
“ไม่จริ๊งงงงงงงง”
“จริง” ย้ำคำหนักแน่น ก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งทั้งที่น้ำตาตกใน......
