บทที่ 6 ซวยซ้ำซ้อน
"อื้ออ.. อย่าค่ะ อย่าทำหนู.. ฮือออ ปล่อย หนูเถอะนะ ฮือออ.. หนูขอร้อง!!"
'จุ๊บบบ.. จ๊วบบ'
สุพจน์รีบตวัดลิ้นอย่างหื่นกระหายลงไปบนปลายยอดอกที่เริ่มแข็งเป็นตุ่มไตของหนูหน่อยจนเกิดเป็นเสียงดังไปทั่วห้องอย่างหยาบโลน
"อืมม.. นมเธอหวานจริงๆ ซะด้วย"
แผล่บ.. แผล่บ..
"ยะ.. อย่าค่ะ หนูขอร้อง.. ฮือออ" หนูหน่อยได้แต่ร้องขออย่างหมดหนทาง ในขณะที่มือของเธอก็พยายามปัดป่ายไปทั่วจนสัมผัสเข้ากับแจกันที่เธอใส่ดอกไม้ไหว้พระ ก่อนที่เธอจะกำมันไว้แน่นและตัดสินใจฟาดลงไปที่หัวของสุพจน์อย่างเต็มแรง
'เพล้งงง!!'
"อ๊าคคค! นี่แกกล้าตีหัวฉันงั้นเหรอ?" สุพจน์รีบผละจากตัวของหนูหน่อยเพื่อลุกขึ้นแล้วใช้มือลูบหัวของตัวเอง ก่อนจะก้มมองดูมือที่เต็มไปด้วยเลือดสลับกับหนูหน่อยที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงมุมห้องด้วยแววตาเอาเรื่อง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะผลีผลามอะไรเพราะว่าในมือของหนูหน่อยยังคงถือแจกันอีกใบที่พร้อมจะฟาดหัวของเขาอยู่นั่นเอง
"นะ.. หนู ขะ.. ขอโทษค่ะ แต่หนูเตือนคุณผู้ชายแล้วนี่ค่ะ" หนูหน่อยพูดเสียงสั่นด้วยความกลัวสุดขีด เพราะเลือดที่เริ่มไหลลงไปเปื้อนกับชุดนอนสีขาวของสุพจน์มีมากจนเธอกลัวว่าเขาจะตาย
'คลิ๊กก!!'
'ปึงงง!!!' เสียงกระชากประตูดังขึ้น
"ว้ายยยย!!!! นี่มันอะไรกันเนี่ย!!!" เสียงแหลมเล็กที่ตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า คือสภาพของหนูหน่อยในเสื้อที่ขาดวิ่น ในขณะที่มือข้างหนึ่งก็ดึงเสื้อที่เหลือมาปิดส่วนหน้าอกไว้โดยมีอีกมือถือแจกันอยู่ ส่วนสามีตัวเองก็อยู่ในสภาพที่เลือดโชกเต็มตัวก่อนที่ทั้งหนูหน่อยและสุพจน์จะหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
"คุณวา/คุณผู้หญิง" ทั้งคู่เรียกคนมาใหม่พร้อมกัน ด้วยสถานะที่ต่างกัน แต่หมายถึงคนๆ เดียวกัน
สุพจน์เบิกตาโพลงขึ้นก่อนจะมีสีหน้าเครียด ส่วนหนูหน่อยเองรู้สึกดีใจที่วาสินีมาช่วยเหลือได้ทันเวลา แต่ว่าความดีใจนั้นก็มีระยะเวลาอยู่แค่แปบเดียวเท่านั้น
"นี่แกรร!! กล้าทำคุณสุพจน์อย่างงั้นเหรอ? ดีละ!! ฉันจะแจ้งตำรวจให้มาจับแกคอยดู ฮืมม คุณเป็นไงบ้างเนี่ย?" วาสินีชี้หน้าด่าหนูหน่อยเสร็จก็ปราดเข้าไปประคองตัวของสุพจน์เอาไว้
"หนูไม่ได้ทำอะไรนะคะ คุณผู้ชายต่างหากที่คิดจะมาปล้ำหนู นะ.. หนูแค่ป้องกันตัวเท่านั้นเอง" หนูหน่อยพยายามอธิบายให้วาสินีฟัง แต่ก็ดูเหมือนพูดก็ยิ่งไร้ประโยชน์ เพราะนอกจากวาสินี่จะไม่เชื่อแล้วยังโยนความผิดของเรื่องทั้งหมดมาที่เธออีกด้วย
"ก็เพราะแกจงใจยั่วคุณสุพจน์นะซิ ฉันไม่น่าไว้ใจเอาอีงูพิษอย่างแกเข้ามาไว้ในบ้านเลยจริงๆ"
หนูหน่อยถึงกับอึ้งในสิ่งที่วาสนีพูดขึ้นมา
"โอ๊ยคุณ!! ผมเจ็บมากเลยอะ รีบพาผมไปโรงพยาบาลที" สุพจน์พูดเสียงอ้อน พร้อมกับทำท่าจะเป็นลมเพื่ออ้อนเมียหนีความผิด ทำให้วาสินีต้องรีบพยุงตัวของเขาขึ้น ก่อนจะหันมาชี้หน้าของหนูหน่อยอย่างเอาเรื่อง
"ได้ค่ะ ส่วนแกอยู่นี่แหละ! เดี๋ยวฉันจะแจ้งตำรวจให้มาลากคอแกเข้าคุก!" หลังจากพูดจบ เธอก็รีบพยุงตัวสุพจน์ออกไปจากห้องของหนูหน่อย ก่อนที่ต่อมาจะมีเสียงติดเครื่องยนต์รถพร้อมกับขับออกไปจากบ้านทันที
หนูหน่อยที่ได้แต่ยืนเงียบเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนผิดทั้งๆ ที่เธอเป็นคนที่ถูกกระทำแท้ๆ ทำให้เธอคิดอะไรไม่ออกเลยรีบวิ่งไปเคาะประตูห้องของแม่เปิ้ลอย่างแรง
'ก๊อกๆๆๆ ก๊อกๆๆ'
"แม่เปิ้ลจ๋า แม่ แม่ได้ยินเสียงหนูมั้ยแม่?" หนูหน่อยส่งเสียงทั้งตะโกนและเคาะประตูจนเจ็บมือไปหมด แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรมาจากข้างในเลย สงสัยแม่เธอจะเหนื่อยมาก หรือว่าแม่ของเธอถูกวางยานอนหลับ ต้องใช่แน่ๆ
เมื่อรูัว่าคงจะปลุกให้แม่เปิ้ลตื่นขึ้นมาไม่ได้ และเวลาก็ไม่มีมากพอแล้วด้วยเพราะเธอกลัวว่าวาสินีจะแจ้งตำรวจมาจับเธอโทษฐานทำร้ายร่างกายจริงๆ เธอก็เลยรีบวิ่งไปที่ห้องก่อนจะหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาเขียนอย่างรีบร้อน
'แม่เปิ้ล หนูหน่อยขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกแม่ด้วยตัวเอง แต่หนูหน่อยคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว หนูหน่อยต้องรีบไปก่อนนะแล้วหนูหน่อยจะรีบติดต่อแม่กลับมานะ รักแม่เปิ้ลที่สุด'
จากนั้นหนูหน่อยก็สอดกระดาษแผ่นนั้นเข้าไปที่ใต้ประตู ก่อนจะก้มลงกราบที่พื้นเพื่อบอกลา
หนูหน่อยรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกจากบ้านโดยเดินไปตามถนนในซอยที่ค่อนข้างจะลึกพอสมควรแถมเสาไฟก็อยู่ค่อนข้างจะห่างกันทำให้มันค่อนข้างจะมืดและน่ากลัว แต่สำหรับหนูหน่อยตอนนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันยังน่ากลัวกว่าอีกเป็นร้อยเท่า
เธอเริ่มเดินฝ่าความมืดพร้อมกับน้ำตาที่รื้นไหลออกมาตลอดทาง เพราะไม่เคยคิดว่าจะต้องมาจากกับแม่เปิ้ลแบบนี้ แถมไม่รู้ด้วยว่าวาสินีจะเอาโทษอะไรกับแม่เปิ้ลหรือเปล่าที่เธอหนีมา แต่เธอก็กลัวจนเกินกว่าจะอยู่ที่นั่นอีกต่อไป
"ฮือๆๆ แม่จ๋าหนูขอโทษ"
'เปรี้ยงงงง!!' เสียงฟ้าผ่าที่มาพร้อมกับแสงท้องฟ้าที่แปลบปลาบ
"ว้ายยย!!" หนูหน่อยร้องเสียงดังลั่น ก่อนที่จะหลับตาแล้วย่อตัวเองลงมานั่งกับพื้นพร้อมกับใช้มือทั้งสองอุดหูด้วยความกลัว
จากนั้นฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มโปรยปรายลงมาอย่างหนัก จนหนูหน่อยเองจะมัวมานั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว เธอจึงรีบวิ่งต่อไปอย่างเร็วท่ามกลางเม็ดฝนหนาที่ทำให้ความมืดที่มีอยู่แล้วหนักขึ้นไปอีก
สภาพของหนูหน่อยตอนนี้เปียกไปหมดทั้งตัว แต่ใบหน้าขาวที่ไร้สิวฝ้ายังคงดูเด่นสวยแม้ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใดๆ ลงไปเลยก็ตาม จนกระทั่งเธอเห็นเหมือนมีแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซต์ที่ขี่สวนทางเข้ามา เธอจึงรีบวิ่งไปอยู่ใต้แสงไฟถนนเพื่อหวังให้คนที่ขี่มอเตอร์ไซต์นั้นสังเกตเห็นเธอได้ง่ายขึ้น
หนูหน่อยยืนตั้งท่าโบกเพื่อขอความช่วยเหลือ แถมในใจก็ยังลุ้นอีกว่าเขาจะเห็นเธอไหม หรือเขาจะคิดว่าเธอเป็นโจรหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะสภาพการณ์ในตอนนี้มันก็ชวนให้คิดได้ทั้งนั้น ซึ่งเธอแน่ใจว่าคงไม่มีผู้หญิงที่ไหนมายืนโบกรถตอนตีสองในช่วงเวลาที่ฝนตกหนักอย่างนี้หรอกนอกจากผีกับโจร
และเมื่อรถมอเตร์ไซต์เข้ามาใกล้ๆ เธอรู้ว่าคนที่ขับเห็นเธอแล้วเพราะเหมือนว่าคนที่ขี่กำลังเลี้ยวรถกลับมาตรงที่เธอยืนอยู่ หนูหน่อยเริ่มยิ้มอย่างมีความหวังขึ้นมาแล้ว
"อ้าว!! หนูหน่อยเหรอจ๊ะ มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ล่ะ" หนูหน่อยจำเสียงของเขาได้ เพราะเขาคือเซฟ วินมอเตอร์ไซต์ที่ชอบแซวเธอนั่นเอง
"พี่เซฟเหรอ!! ช่วยหนูหน่อยด้วยจ๊ะ ช่วยไปส่งหนูหน่อยที่หน้าปากซอยที"
"งั้นก็ขึ้นมาก่อนเลย เดี๋ยวค่อยว่ากัน"
หลังจากที่หนูหน่อยซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ของเซฟแล้วเธอก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดทุกอย่างให้เซฟฟัง แต่เขาก็ยังขับชะลอๆ ไม่ยอมเร่งให้ไปถึงปากซอยซักที
"เลวจริงๆ เลย ดีแล้วที่หนูหน่อยหนีออกมาได้ ว่าแต่จะให้พี่ไปส่งเอาไหมไปคนเดียวมันอันตรายนะ พี่เป็นห่วง" เซฟเสนอขึ้นมา หลังจากที่ตอนนี้ฝนเริ่มซาเม็ดลงแล้ว
"จะดีเหรอพี่เซฟ หนูหน่อยเกรงใจ" หนูหน่อยพูดเพราะตอนนี้เธอตั้งใจว่าจะไปขออาศัยกับวรรณนาเพื่อนสมัยเรียนมัธยมด้วยกันแต่ตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้วเลยขอที่บ้านมาอยู่หอพักเพราะสะดวกกว่า
"ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ คนกันเองแท้ๆ มาเหอะไปแท็กซี่ยิ่งอันตรายแถมสภาพของหนูหน่อยตอนนี้คงไม่มีแท็กซี่คันไหนให้ขึ้นหรอก อีกอย่างเผื่อยัยคุณนายบ้านนั้นมันแจ้งตำรวจขึ้นมาจริงๆ หนูหน่อยจะหนีไม่ทันเอานะ" เซฟพยายามอธิบายเหตุผลจนหนูหน่อยเริ่มคล้อยตาม เพราะหลังจากที่เธอก้มลงมองดูสภาพของตัวเองแล้วก็เห็นว่าจริงอย่างที่เซฟพูดทุกอย่าง แถมเรื่องแจ้งตำรวจนั้นก็ยังรบกวนใจของหนูหน่อยอยู่
"งั้นก็ได้จ๊ะพี่เซฟ หนูหน่อยรบกวนด้วยนะ"
จากนั้นหนูหน่อยก็บอกจุดหมายปลายทางให้กับเซฟ ซึ่งนั่นทำให้เธออุ่นใจขึ้นมาบ้าง
หลังจากที่เซฟขี่มอเตอร์ไซต์พาหนูหน่อยลัดเลาะไปตามซอยต่างๆ จนเธอรู้สึกงงๆ เพราะไม่เคยใช้เส้นทางนี้เพื่อไปที่หอพักของวรรณนาเลย แต่พอเธอถามเซฟก็บอกว่ามันเป็นเส้นทางลัด และอีกอย่างหากตำรวจตามหาตัวของเธอจะได้ไม่เจอ หนูหน่อยก็เลยเชื่อและไว้ใจเขา
"พี่เซฟ หนูหน่อยว่าพี่เซฟมาผิดทางรึป่าว? พี่เซฟจะพาหนูหน่อยไปไหนเหรอ?" เสียงของหนูหน่อยเริ่มสั่นๆ อีกครั้งเพราะตอนนี้เธอแทบจะไม่รู้จักเส้นทางที่เซฟพามาเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือนี่ไม่น่าจะเป็นเส้นทางที่จะไปหอพักของวรรณนาแน่ๆ
"หึหึ ไม่ต้องกลัวนะหนูหน่อย ไปอยู่กับเพื่อนน่ะมันไม่ดีหรอกสู้ไปอยู่สวรรค์กับพี่ดีกว่า" เซฟพูดขึ้นหลังจากที่เลี้ยวรถเข้าไปที่บ้านร้างหลังหนึ่ง ก่อนจะคว้าแขนของหนูหน่อยเอาไว้กันไม่ให้หนี
สายตาที่ดูลนลานของหนูหน่อยนั้นทำให้ชายหนุ่มยิ่งได้ใจ เพราะกว่าจะหาโอกาสที่หนูหน่อยจะออกมากับเขาได้แทบจะเป็นศูนย์ แล้วพอได้โอกาสแบบนี้มีเหรอที่คนอย่างเขาจะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ แถมเสื้อบางที่เปียกชุ่มนั้นยังลู่แนบไปกับร่างบางยิ่งเน้นให้เห็นสัดส่วนเว้าโค้งได้อย่างชัดเจน
เซฟได้แต่กลืนน้ำลาย ก่อนจะกระชากตัวของหนูหน่อยให้ตามเข้าไปในบ้านร้าง
“พี่เซฟหนูหน่อยกลัวแล้วอย่าทำอะไรหนูหน่อยเลยนะ หนูหน่อยขอร้อง” หนูหน่อยพูดพร้อมกับยกมือข้างที่เหลือขึ้นมาไหว้ขอร้อง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เชฟรู้สึกเห็นใจแต่อย่างใด กลับยิ่งทำให้เขาอยากจะจับหนูหน่อยมากระแทกซะมากกว่า
“ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวพี่เซฟจะพาหนูหน่อยไปสวรรค์เอง พี่เซฟรับรองเลยว่าเดี๋ยวหนูหน่อยจะติดใจ แล้วหนูน้อยเองนั่นแหละที่จะเป็นคนร้องขอให้พี่พาไปสวรรค์อีกบ่อยๆ”
“ไม่!! พี่อย่าทำหนูเลย หนูกลัวแล้ว ปล่อยหนูไปเถอะนะ หนูขอร้อง.. ฮืออ” หนูหน่อยพยายามพูดเท่าไหร่แต่ก็ดูเหมือนว่ามันไม่มีประโยชน์
อุตส่าห์หนีจากเสือมาได้แล้วยังจะมาปะกับจระเข้อีกเหรอ? หนูหน่อยถึงกับปลงในโชคชะตา ถ้าขอร้องไม่ได้ผลเธอก็ต้องใช้มารยาหญิงซะแล้ว
“อืมม.. พี่เซฟจ๋า.. หนูหน่อยว่าเราไปหาที่อื่นทำกันดีกว่ามั้ยอะ หนูไม่ชอบบรรยากาศที่แน่เลยอ่ะ ไปโรงแรมไม่ได้เหรอพี่เซฟ” อยู่ๆ หนูหน่อยก็หยุดดิ้น ก่อนจากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่เปลี่ยนไป จนเซฟเองต้องหยุดกระชากตัวเธอ
“หา!! ว่าไงนะ นี่หนูหน่อยจะยอมพี่จริงๆ เหรอ?” เซฟถามเสียงจริงจัง เพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เฮ้อ!! ก็ถ้าจะให้หนูเลือกเอาผู้ชายแก่บ้ากามแบบนั้นมาเป็นผัว สู้หนูเลือกเอาหนุ่มๆ แบบพี่เซฟไม่ดีกว่ารึไงล่ะ"
“หนูหน่อยไม่หลอกพี่แน่นะ” เซฟถามย้ำเพราะยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเขาก็ไม่เคยเห็นพาร์ทนี้ของหนูหน่อยมาก่อน
"จริงๆ หนูหน่อยเองก็รู้สึกอึดอัดที่ต้องทำตัวเป็นคนเรียบร้อยเหมือนกันแหละพี่เซฟ หนูเกรงใจแม่เปิ้ลต่างหากล่ะ อีกอย่างที่หนูหน่อยจะไปหาก็ไม่ใช่เพื่อนผู้หญิงหรอก แต่เป็นเพื่อนผู้ชายต่างหากล่ะ" หนูหน่อยหวังว่าพูดขนาดนี้แล้วเซฟคงจะเชื่อเธอขึ้นมาบ้างนะ
"งั้นที่ผ่านมาเป็นแบบนี้เองเหรอ?" หนูหน่อยรู้สึกโล่งใจที่ดูเหมือนเซฟจะเชื่อเธอขึ้นมาบ้าง
“ไปกันเถอะพี่เซฟ หนูอยากอาบน้ำแล้ว เอาที่มีน้ำอุ่นด้วยนะหนูหน่อยจะได้ช่วยอาบน้ำให้พี่เซฟด้วยไงจ๊ะ” หนูหน่อยพูดเสร็จก็ใช้นิ้วเรียวจิ้มลงไปที่หน้าอกของเซฟ ก่อนจะเลื่อนลงมาหยุดที่ขอบกางเกงยีนส์ที่เปียกชื้นของเขา
“จ๊ะๆๆ งั้นพี่ว่าเดี๋ยวเรารีบไปโรงแรมที่ใกล้แถวนี้ๆ ดีกว่าเนอะ หนูหน่อยจะได้รีบอาบน้ำให้พี่ไง”
“แล้วแต่พี่เซฟเลยจ้ะ หนูหน่อยเองก็อยากจะ.. อืมม.. เต็มทีแล้ว” พูดเสร็จหนูหน่อยก็ปลดกระดุมเสื้อลงมา 2 เม็ดและกัดริมฝีปากล่างข้างหนึ่ง ก่อนจะส่งสายตาเยิ้มไปให้ ต้องขอบใจวรรณนาที่เคยสอนวิธีเอาตัวรอดแบบนี่ให้
จากนั้นทั้งคู่ก็ขี่มอเตอร์ไซต์ตรงไปที่โรงแรมใกล้ๆ ราคาไม่แพงที่ชายหนุ่มรู้จัก โดยที่เซฟบิดคันเร่งอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะเขาอยากจนหน้ามืดหรอกแต่เพราะกลัวว่าหนูหน่อยจะกระโดดลงจากรถมอเตอร์ไซต์ระหว่างที่วิ่งมาต่างหาก
และไม่นานฝนอีกระลอกก็ตกลงมาอีกแล้วและคราวนี้ดูเหมือนว่าจะหนักกว่าเมื่อสักครู่ซะอีก แต่ก็ไม่มีปัญหากับพวกเขาซักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้เซฟขี่มอเตอร์ไซต์คู่ใจเข้ามาจอดที่หน้าโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
"น้องค้างคืนนะ เดี๋ยวพี่ขอเบียร์ด้วยสองขวด"
"โห!! เด็กพี่โคตรแจ่มเลยอะ ไปได้มาจากไหนเหรอ? ขนาดผมเห็นแล้วผมยังอยากเอาเลย แม่งโคตรเอ็กซ์อะ" เด็กหนุ่มคนที่ดูแลห้องแอบก้มลงมากระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน
"เฮ้ย!! นี่เด็กพี่นะ เกรงใจพี่หน่อยดิ!"
"แหมก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นแหละน่า เฮ้ย!! แล้วนั่นเด็กพี่จะวิ่งไปไหนวะ?" เด็กหนุ่มพูดก่อนจะชี้มือไปที่หนูหน่อยที่กำลังวิ่งออกไปที่ทางออกของโรงแรมแล้ว
"เฮ้ย!! เช็ดเป็ดเอ๊ย!! หนูหน่อยกลับมานะ!" เซฟตะโกนขึ้นอย่างเซ็งๆ ที่ปล่อยให้หนูหน่อยวิ่งหนีเขาในระหว่างที่กำลังตกลงเรื่องราคาค่าห้องอยู่กับเด็กที่เฝ้าอยู่
หนูหน่อยหลังจากที่ตัดสินใจวิ่งออกมาแล้ว ก็หลับหูหลับตาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตยิ่งได้ยินเสียงของเซฟที่ตะโกนไล่หลังตามมาติดๆ เธอก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้น แต่สุดท้ายเซฟก็วิ่งตามมาทันและเอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อของหนูหน่อยไว้ ก่อนที่เสื้อเปื่อยๆ นั่นจะขาดหลุดไปตามมือ
'แคว่กกก!!'
หนูหน่อยรีบยกมือขึ้นมาปิดส่วนน่าอายที่มันใหญ่มากไว้ ก่อนจะวิ่งต่อไปเพื่อจะขอความช่วยเหลือแต่แล้ว ด้วยความที่ไม่ทันระวัง
รถคันหรูสีดำที่วิ่งฝ่าสายฝนมาก็แตะเบรคอย่างทันทีที่เห็นว่าคนกำลังวิ่งตัดหน้ารถ
'เอี๊ยดดด!! โครม!!'
