บทที่ 9 ตอน ในวันที่ไม่เหลือใคร

เยี่ยเหวินจ้าวรับถุงใส่ซาลาเปาส่งให้หลิวซืออิน คืนเงินทอนให้เป็นสินน้ำใจกับคนขับรถม้า อีกฝ่ายรีบรับมาเก็บ พร้อมกับเล่าว่า

"เมื่อสี่วันก่อน หยวนจงเหลียงเจ้าของบ่อนในอำเภอต้าโจวถูกโจรฆ่าตาย เจ้าสาวที่เพิ่งรับขึ้นเกี้ยว ถูกโจรฉุดตัวไป คนสารเลวเช่นนี้ตายไป มีแต่คนยินดี"

ข่าวนี้ล้วนถูกกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง หยวนจงเหลียงเป็นเจ้าของบ่อนหน้าเลือด ย่อมมีคนเกลียดชังมากกว่านับถือ ตายไปไม่มีคนนึกเสียดายมีแต่สาปแช่ง

"ที่น่าสงสารคงจะเป็นครอบครัวเศรษฐีหลิว บุตรสาวถูกโจรฉุดจากเกี้ยวเจ้าสาวไม่พอ ยังโชคร้ายบ้านถูกไฟไหม้ คนในบ้านถูกไฟครอกตายจนหมด เฮ้อ... น่าเวทนาจริงๆ"

"ท่านว่าอะไรนะ ผู้ใดถูกไฟครอกตาย"

หลิวซืออินได้ยินข่าวนี้ ก็รีบถามขึ้นมา

"ก็ครอบครัวเศรษฐีหลิวน่ะสิ หลังจากส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว คืนนั้นไฟก็ไหม้บ้านจนไม่เหลือซาก พบเพียงศพถูกไฟครอก ยากจะแยกออกว่าเป็นผู้ใด"

คนขับรถม้าถอนหายใจออกมา ขณะที่หลิวซืออินนั่งตัวแข็งน้ำตาคลอ เยี่ยเหวินจ้าวขยับเข้ามาจับมือนางไว้

"อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ ข้าจะพาเจ้าไปดู"

"พาข้าไป พาข้าไปที"

หลิวซืออินน้ำตาไหล บีบมือเยี่ยเหวินจ้าวไว้แน่น คนขับรถม้าเห็นท่าทางของทั้งสองก็แปลกใจ เอ่ยถามว่า

"พวกเจ้ารู้จักครอบครัวเศรษฐีหลิวด้วยหรือ"

"พวกเขาเป็นญาติที่เรากำลังจะไปเยี่ยม พี่ชายท่านรีบพาเราไปเถอะ"

"ได้ๆ ข้าจะเร่งม้าให้เร็วที่สุด"

คนขับรถรีบกระโดดขึ้นรถ ฟาดแส้ให้ม้าวิ่งออกไป เพียงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงบ้านตระกูลหลิว ในช่วงเวลาเย็นเกือบค่ำ

"ถึงแล้ว พวกเจ้าลงมาดูเองเถอะ"

ภาพเบื้องหน้า ทำให้หลิวซืออินถึงกับร้องไห้ออกมา บ้านตระกูลหลิวที่นางเคยอาศัย บัดนี้เหลือเพียงเถ้าถ่าน

ตัวบ้านถูกเผาจนจำสภาพเดิมไม่ได้ นางวิ่งไปมามองดูซากบ้าน หัวใจแตกร้าวไปหมด ภาพท่านย่าในความฝันผุดขึ้นมาในหัว

“เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ต้องเข้มแข็งและมีชีวิตอย่างมีความสุขให้ได้”

“หากไม่มีย่า เจ้าก็ต้องอยู่ให้ได้”

ถ้อยคำเหล่านี้ของท่านย่า คือการบอกลาเช่นนั้นหรือ

"ท่านย่า ท่านอา ท่านอาสะใภ้ เหตุใดพวกท่านทอดทิ้งข้า"

หลิวซืออินทรุดตัวลงร้องไห้คร่ำครวญ นางไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีท่านย่า ไม่เหลือผู้ใดอีกแล้ว

นางสูญเสีย สูญสิ้น หมดทุกสิ่ง มีเพียงลมหายใจกับร่างกายที่อ่อนระโหยโรยล้า ยังคงต้องฝืนมีชีวิตอยู่

"เจ้ายังมีข้า ไม่ต้องกลัว ข้าจะดูแลเจ้าเอง"

เยี่ยเหวินจ้าวเข้ามาดึงหลิวซืออินมากอดไว้ ให้สัญญากับนางและตัวเองว่า เขาจะดูแลนางไปชั่วชีวิต

หลิวซืออินไร้บ้าน ไร้ครอบครัว ชีวิตของนางก็เหมือนคนขาดที่พึ่ง ยามนี้คนเดียวที่นางสามารถพึ่งพาได้ก็คือเยี่ยเหวินจ้าว

เขาพานางขึ้นรถม้า เดินทางออกมาจากเมืองต้าโจ กลับไปยังท่าเรือ เมืองหนานไห่อีกครั้ง

ระหว่างทางหลิวซืออิน เอาแต่นั่งขดตัว ร้องไห้อยู่เงียบๆในรถม้า ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน เยี่ยเหวินเจ้าปล่อยให้นางอยู่แบบนั้น เขาไม่รู้ว่าจะปลอบโยนนางอย่างไรดี

แผนการเดิมของเยี่ยเหวินจ้าว ก็คือการเดินทางไปยังแคว้นอื่น เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่เรือที่เขาจะอาศัยไปด้วย

กำหนดออกเดินทางคืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ระหว่างนี้จึงต้องรอ เขาคิดจะหาบ้านเช่าสักหลัง โชคดีคนขับรถม้ารู้จักเจ้าของบ้านเช่าจึงแนะนำให้

"เราจะอยู่ที่นี่กันสักหนึ่งเดือน"

เยี่ยเหวินจ้าวพาหลิวซืออินเข้าบ้าน บ้านหลังนี้ค่อนข้างเล็ก มีห้องนอนห้องเดียว ครัว และชานบ้าน ราคาจึงไม่สูงมาก

"เจ้าปัดกวาดให้ดี ในครัวมีข้าวสารกับเนื้อ เจ้าทำกับข้าวได้เลย ข้าจะไปข้างนอกสักครู่ เดี๋ยวจะกลับมา"

เขาบอกนาง แล้วปล่อยนางไว้ที่บ้านเพียงลำพัง หลิวซืออินจึงจัดการปัดกวาดเช็ดถู จากนั้นก็เข้าครัวทำอาหาร งานพวกนี้นางล้วนเคยทำ จึงไม่ยากลำบากอะไร

เยี่ยเหวินจ้าวหายไปหนึ่งชั่วยาม ก็กลับมาพร้อมข้าวของหลายอย่าง เขาวางทุกอย่างไว้บนโต๊ะ แล้วบอกว่ามันคืออะไรบ้าง

"ข้าซื้อเสื้อผ้าให้เจ้า ข้าไม่รู้เจ้าชอบสีอะไร จึงเอามาทุกสี"

ห่อแรกเป็นเสื้อผ้าสตรี มีหลากสีสัน เนื้อผ้าฝ้ายนุ่มสบาย และรองเท้าอีกสองคู่ ในห่อผ้ายังมีตู้โตว (เสื้อบังทรง) สีชมพูเท่าจำนวนชุด หลิวซืออินรีบเก็บยัดไว้ในผ้า

"ของแบบนี้เจ้าก็รู้จักซื้อด้วยหรือ"

"มิใช่ว่า เจ้าจำเป็นต้องใช้หรือ"

เยี่ยเหวินจ้าวไปซื้อเสื้อผ้า เถ้าแก่เนี้ยร้านขายเสื้อผ้าสตรี แนะนำว่าควรจะมีตู้โตวเท่าจำนวนชุด แล้วถามว่าเขาชอบสีอะไร

เขาจึงบอกว่าชอบสีดำ เถ้าแก่เนี้ยส่ายหน้าหยิบสีชมพูมาให้

"ภรรยาเจ้า นางต้องชอบสีชมพูแน่ เจ้าซื้อสีนี้ให้นางเถอะ เอาสีขาวไปสักสองตัวก็ดี"

เยี่ยเหวินจ้าวตกลงเอาตามที่เถ้าแก่เนี้ยแนะนำ เขาเห็นหน้าแดงๆ แววตาขัดเขินของนางในตอนนี้แล้ว รู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปคุ้มค่ายิ่ง

"ห่อนี้ก็เป็นของข้าหรือ"

หลิวซืออินเอ่ยถาม ขณะเปิดดูของอีกห่อ

"ห่อนี้เป็นของเรา"

เยี่ยเหวินจ้าวกุมมือนางไว้ หยิบชุดเจ้าสาวสีแดงออกมาจากห่อ ส่งให้นาง

"นี่เจ้าคิดทำอะไร"

นางไม่ยอมรับ ขยับถอยหนี มองชุดเจ้าสาวสีแดง ด้วยสายตาเหมือนมองปีศาจ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป