บทที่ 6 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน
บ้านเก่าของตระกูลวัฒนศิริ เป็นคฤหาสน์โบราณที่ตั้งอยู่นอกเมือง มีสวนเล็กๆ ในตัว ผนังสีขาวกระเบื้องสีดำ ดูเรียบง่ายแต่หรูหรา
มิณท์รัตน์ประคองคุณย่าเดินเข้าไปในบ้าน ธนัทเดินตามหลังพวกเธอไปอย่างครุ่นคิด
“จริงสิ ย่ามีจดหมายฉบับหนึ่งจะให้หลาน”
คุณย่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหยิบซองจดหมายสีเหลืองเก่าๆ ออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดใส่มือของมิณท์รัตน์
“นี่มัน...” มิณท์รัตน์มองลายมือที่คุ้นเคยบนซองจดหมายในมือ ขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
“นี่เป็นจดหมายที่คุณยายฝนทิ้งไว้ให้หลาน” คุณย่าตบหลังมือของมิณท์รัตน์เบาๆ เพื่อปลอบใจแล้วพูดเสียงเบาว่า “ก่อนที่คุณยายฝนจะจากไป ยายบอกย่าไว้ว่า ถ้าภายในหนึ่งปีหลานแต่งงานกับธนัท ก็ให้ย่าเอาจดหมายฉบับนี้ให้หลาน แต่ถ้าไม่...”
คุณย่าไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
มิณท์รัตน์มองลายมือที่คุ้นเคยซึ่งเขียนว่า “ถึงมิณท์รัตน์” บนซองจดหมาย น้ำตาก็คลอเบ้าจนภาพพร่ามัว
“คุณย่าคะ ยังไม่มีข่าวของคุณยายฝนเลยเหรอคะ” มิณท์รัตน์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
คุณย่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีเลย มิณท์ หลานก็รู้นิสัยของคุณยายฝนดี ถ้าแกตั้งใจจะไป ก็ไม่มีใครหาแกเจอหรอก”
มิณท์รัตน์พยักหน้าทั้งที่ยังสะอื้น
เธอพลันนึกถึงครั้งล่าสุดที่ไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของคุณยายฝน ในใจก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เธอรู้จักกับคุณยายฝนตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า
คุณยายฝนมีความสามารถมาก ท่านสามารถทำนายดวงชะตา ดูโชคดีโชคร้ายได้
ตั้งแต่เธอยังเด็กมาก คุณยายฝนเคยเตือนเธอไว้ว่า ห้ามใช้ความสามารถที่ท่านสอนไปหาเงินเด็ดขาดก่อนที่จะแต่งงาน
และห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าเธอเรียนรู้อะไรมาจากคุณยายฝน มิฉะนั้นจะนำภัยถึงชีวิตมาให้
ในชาติที่แล้ว ศุภมณีเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน และต้องการเงินค่าผ่าตัดสองล้านบาท
ตอนนั้นเธอเพิ่งถูกรับกลับบ้าน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่ เธอจึงแหกกฎ ใช้วิชาที่คุณยายฝนสอนให้หาเลี้ยงชีพ หาเงินค่าผ่าตัดได้ครบแล้วนำไปมอบให้กับหลินเหมยจู แม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ
ใครจะไปรู้ว่า ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่เธอกำลังเดินอยู่บนถนนดีๆ ป้ายโฆษณาก็หล่นลงมาทับเธอ ทำให้เธอต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนานถึงสามเดือน...
โชคดีที่...
ในชาตินี้ เธอยังมีเวลาพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลายอย่าง
ชาติที่แล้ว จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเธอก็ไม่ได้พบคุณยายฝนอีกเลย และไม่รู้เลยว่าหลังจากที่คุณยายฝนทราบข่าวการตายของเธอแล้ว ท่านจะเสียใจแทบขาดใจเพียงใด
มิณท์รัตน์เปิดซองจดหมายด้วยมือที่สั่นเทา เธอมองดูกระดาษจดหมายบางๆ ที่มีลายมือบรรจงสวยงามแต่สั้นๆ เธอไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป น้ำตาใสๆ หยดหนึ่งไหลลงบนแก้มอย่างเงียบงัน
จดหมายนั้นสั้นมาก มีเพียงไม่กี่ประโยค
คุณยายฝนบอกว่า ชีวิตของหลานสาวคนนี้เต็มไปด้วยอุปสรรค ดังนั้นท่านจึงได้ทำนายดวงชะตาให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย
คำทำนายนั้นเป็นลางร้ายอย่างยิ่ง บอกว่าในชะตาของเธอมีเคราะห์ถึงเลือดตกยางออก และมีโอกาสสูงที่จะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสามปี
แต่ถ้าเธอโชคดีได้เห็นจดหมายฉบับนี้ ก็หมายความว่าเธอได้ผ่านพ้นเคราะห์กรรมนี้ไปแล้ว หนทางข้างหน้าจะราบรื่นปลอดภัย และมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชู
สุดท้าย คุณยายฝนยังบอกอีกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงท่านมากเกินไป เมื่อถึงเวลาที่วาสนาส่ง พวกเธอยายหลานก็จะได้พบกันเอง
อันที่จริง คุณยายฝนไม่ได้สอนวิธีทำนายดวงชะตาหรือดูโชคดีโชคร้ายให้เธอเท่าไหร่นัก
คุณยายฝนมักจะพูดเสมอว่า รู้ชะตาฟ้าลิขิต ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว การฝืนชะตาฟ้าดินเพื่อเปลี่ยนดวงชะตา จะทำให้อายุสั้นลงได้ง่ายๆ
แต่ว่าเธอฉลาดมาตั้งแต่เด็ก จากการพลิกอ่านตำราโบราณของคุณยายฝน ก็ได้เรียนรู้มาบ้างเล็กน้อย
อย่างเช่นการดูโชคดีโชคร้ายจากของเก่า...
“มิณท์ ทำไมร้องไห้ล่ะลูก”
คุณย่าหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของมิณท์รัตน์ด้วยความสงสาร แต่ใครจะคิดว่า ยิ่งเช็ดน้ำตาก็ยิ่งไหล
เมื่อเห็นมิณท์รัตน์น้ำตานองหน้า หัวใจของคุณย่าก็เจ็บปวดไปหมด
เด็กคนนี้ หรือว่าจะไปเจอเรื่องไม่สบายใจอะไรมาตอนที่ย่าไม่เห็นนะ
“ธนัท นี่แกรังแกน้องใช่ไหม” คุณย่าขมวดคิ้วแล้วหันไปถลึงตาใส่ธนัทที่เดินตามหลังมา
ธนัทพูดอย่างจนใจ “คุณย่าครับ ผมเปล่า”
“ถ้าแกไม่ได้ทำ แล้วน้องจะร้องไห้เสียใจขนาดนี้ได้ยังไง” คุณย่าขมวดคิ้ว ไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
“คุณย่าคะ” เมื่อเห็นว่าคุณย่ากำลังจะว่าธนัทต่อ มิณท์รัตน์ก็รีบปาดน้ำตาลวกๆ แล้วดึงมือคุณย่าไว้พร้อมกับพูดว่า “ไม่เกี่ยวกับเขาหรอกค่ะ พอดีมิณท์คิดถึงคุณยายฝนขึ้นมานิดหน่อย”
“โถ เด็กคนนี้ ช่างน่าสงสารจริงๆ”
คุณย่าจูงมือมิณท์รัตน์เดินต่อไปยังห้องอาหารด้วยความสงสาร “อย่าเสียใจไปเลยนะ คุณยายฝนก็คงไม่อยากเห็นหลานเป็นแบบนี้ ใช่ไหมล่ะ”
“รีบไปล้างหน้าล้างตา จัดการอารมณ์ตัวเองให้ดี แล้วจะได้มากินข้าวกัน”
“ค่ะ”
หลังจากที่มิณท์รัตน์เดินตามสาวใช้ของตระกูลวัฒนศิริไปล้างหน้าที่ห้องน้ำอย่างว่าง่าย เธอก็กลับมานั่งที่ห้องอาหาร
บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสมากมายที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“มิณท์ ไม่ต้องเกรงใจนะ ให้ธนัทตักของหวานอุ่นๆ ให้สักถ้วยสิ จะได้อุ่นท้อง” คุณย่ามองคนทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันพลางยิ้ม
“เดี๋ยวฉันตักเอง...”
มิณท์รัตน์รีบยื่นมือไปหยิบช้อน แต่กลับบังเอิญไปสัมผัสโดนฝ่ามืออุ่นๆ
เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง แล้วสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทที่ลุ่มลึกจนสุดจะหยั่ง
“ผมเอง”
เสียงทุ้มต่ำของธนัทดังขึ้นเรียบๆ จากนั้นเขาก็ตักของหวานหนึ่งถ้วยวางลงตรงหน้ามิณท์รัตน์
“ขอบ...”
มิณท์รัตน์กำลังจะเอ่ยปากอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นก็มีเสียง “เปรี๊ยะ!” ดังขึ้น โคมไฟระย้าบนเพดานก็ระเบิดออก
ภายในห้องตกอยู่ในความมืดมิด...
“คุณย่า!” มิณท์รัตน์รีบเข้าไปอยู่ข้างกายคุณย่าเพื่อปกป้องท่านในทันที
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” คุณย่าขมวดคิ้วถาม
ความมืดที่มาเยือนอย่างกะทันหันทำให้ภายในบ้านเกิดความโกลาหลวุ่นวาย
ไม่นาน สาวใช้ก็ถือเชิงเทียนเข้ามา
“คุณผู้หญิงคะ อาจจะเป็นเพราะสายไฟในบ้านเก่าแล้วค่ะ ได้โทรตามช่างซ่อมมาแล้วค่ะ”
“ระบบไฟของบ้านเก่าไม่ได้มีการตรวจเช็คเป็นประจำหรอกเหรอ ทำไมถึงยังเสียได้อีกล่ะ” ธนัทขมวดคิ้วถามเสียงเย็น
ร่างของสาวใช้สั่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม
“ขอโท...”
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!
เสียงระเบิดดัง “เปรี้ยงปร้าง” ดังขึ้นอีกระลอก โคมไฟระย้าด้านบนสว่างวาบๆ ดับๆ ส่องกระทบใบหน้าของคนไม่กี่คนในห้องอาหาร ทำให้ใบหน้าของพวกเขาขาวซีดราวกับปีศาจ
“คุณย่าคะ เดี๋ยวฉันไปส่งคุณย่ากลับห้องพักผ่อนก่อนดีไหมคะ”
มิณท์รัตน์มองใบหน้าของคุณย่าที่ซีดเผือดลงทันทีด้วยความตกใจอย่างสงสาร แล้วพูดปลอบเบาๆ
คุณย่าตกใจมากจริงๆ ใบหน้าของท่านซีดขาว และพยักหน้าเบาๆ
ขณะที่ประคองคุณย่ากลับห้อง มิณท์รัตน์หันกลับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาเย็นชาของเธอกวาดไปที่ร่างของธนัท
ภายใต้แสงไฟที่ติดๆ ดับๆ ใบหน้าของธนัทขาวซีดราวกับปีศาจ ส่วนป้ายหยกที่ห้อยอยู่บนคอของเขานั้น รอยสีเลือดเส้นนั้นยิ่งดูน่าขนลุกภายใต้แสงไฟที่สว่างวาบ
ธนัททำหน้าบึ้งตึงมองแผ่นหลังของมิณท์รัตน์ที่ประคองคุณย่าจากไป เขาเอื้อมมือไปลูบป้ายหยกบนคอ ดวงตาสีดำสนิทลุ่มลึกของเขาทอประกายความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
หรือว่ามันจะลางร้ายขนาดนั้นจริงๆ
เขานึกถึงคำพูดของมิณท์รัตน์ระหว่างทางขึ้นมาในหัวทันที เขาหรี่ตาลงอย่างเย็นชา พลางครุ่นคิด
ที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยเชื่อคำพูดของมิณท์รัตน์เท่าไหร่
แต่ตอนนี้...
เป็นเรื่องบังเอิญ? หรือว่า...
โครม!
ขณะที่ธนัทกำลังครุ่นคิด โคมไฟระย้าบนเพดานก็โคลงเคลงเหมือนจะร่วง แล้วก็ร่วงหล่นลงมาอย่างแรง
กระแทกลงข้างเท้าของธนัทพอดี
“เชี่ย!”
สีหน้าของธนัทเปลี่ยนไปในทันที เขากระชากป้ายหยกที่คอออกแล้วลุกขึ้นยืน
