บทที่ 2 เบ๊เล่าเรื่อง(2)
ขุนน้ำเล่า
“ฉิบหาย กูไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น กูแค่เห็นว่ามันไม่มีเพื่อนเลยคบมันไว้ มึงก็รู้กูเฟรนด์ลี่แค่ไหน” ผมกลัวเสียหน้าเลยอ้างเป็นคนที่ยอมเข้าไปเป็นเพื่อนกับทิวา
“คืองี้ ไอ้หัวกะทิเข้มข้นเนี่ย มันชอบสาวญี่ปุ่น ขาวๆ ไง ที่สำคัญ มันชอบคนตูดงอนๆ เด้งๆ ว่ะ”
ถ้าผมไม่อายเพื่อนคงเต้นท่าเด้งหน้าเด้งหลัง ประกอบคำพูดตัวเองไปแล้ว
“ขุนไปอยู่ใต้เตียงมันหรือไงถึงรู้” ขนมปังหนุ่มสูงเพรียว หน้าสวยจัดถามเสียงขรึม
“เออ กูนี่แหละอยู่ใต้เตียงมัน มุดหัวเข้าไปดูด้วย และเห็นจะๆ ว่ามีรูปสาวญี่ปุ่นนอนโก้งโค้ง สงสัยมันจะชอบด็อกกี้สไตล์!”
“เชี่ยยยยย! ไอ้ทินั่น มันคิดไรวะ ชอบเก็บสบู่หรือเปล่า”
จักจั่น สาวมาดทอมบอย หรือลูกสาวกำนันของกลุ่มทำทีเป็นลูบแขน แสดงท่าขนลุกอย่างสมจริง
“อ้าว ขุนคิดว่าไง กะทิเนี่ยเป็นไบฯ ไหม” กีกี้ถามบ้าง เธอเป็นมันสมองของกลุ่ม เรื่องการเรียนเป็นรองก็แค่ทิวา
“ไม่หรอก กูรับรองได้ อยู่กับมันมาจนจะครบเดือนแล้ว ไม่เคยเห็นจับตูด ดูดปากกูสักที” ผมเผลอพูดอะไรออกไปเนี่ย เพื่อนในกลุ่มจึงทำหน้าเหวอได้ขนาดนั้น
“อี๋...ขุนพูดน่าเกลียดไป เราว่าทิวาคงไม่เล้าโลมหรอก น่าจะเป็นประเภทจับตีก้นป้าบๆ แล้วเสียบทะลุลำไส้เลยมากกว่า ฮ่าๆ ๆ”
ขนมปังว่าเสียงดัง ตามด้วยการหัวเราะชอบอกชอบใจ และผมก็เป็นไปกับมันด้วย กระทั่งมีมือใหญ่ๆ มาวางที่หัวไหล่แล้วออกแรงบีบนั่นแหละ ผมถึงสัมผัสได้ถึงความอำมหิตที่แผ่ซ่านอยู่ด้านหลัง
เหี้ยยยยยย ไอ้ทิมา...
“สนุกมากไหมมึง ทำไมอยากรู้เรื่องของกูไม่ถามกันตรงๆ วะ พูดมั่วแบบนี้อยากอมตีนหรือไง”
ทิวาเอ่ยเสียงเหี้ยม น้ำเสียงกับท่าทีมันทำให้กลุ่มที่นั่งนินทาอยู่ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนค่อยๆ สลายกันไป และเหลือแต่ผมคนเดียวที่ถูกรั้งตัวไว้
“มึงทำแบบนี้หมายความว่าไง สนุกมากสินะที่เอาเรื่องของกูมาเล่าให้คนอื่นฟัง”
ใบหน้าขาวอมชมพูของเพื่อนสุดหล่อตอนนี้กลายเป็นแดงจัด มันโกรธหนักมาก ไม่บอก ผมก็ดูออก
“ก็ไม่นะ กูแค่ปากเปราะ หลุดพูดเล่นมากไปหน่อย มึงก็รู้นิสัยกูเหี้ยแค่ไหน”
“เออ กูเข้าใจสันดานมึงดี แต่นี่มันไม่ใช่ความจริง แล้วมึงเสือกพูดให้คนอื่นแบบนี้ ไอ้หอกหักเอ๊ย มึงเนี่ยน่าถูกกระทืบฉิบหาย”
ทิวาเอ่ยจบก็คว้าคอเสื้อผม อีกมือนั้นเงื้อง่าตั้งท่าเตรียมส่งหมัดใส่หน้า แต่คงยั้งไว้ทันจึงหยุดและทำสิ่งน่าเกลียดด้วยการถุยน้ำลายลงพื้นแทน
“ไอ้กากขุน จำคำกูไว้ให้ดี มึงมันก็แค่เพื่อนเลวใจหมา”
คำที่หลุดออกจากปากทิวาทำให้ผมเสียใจมาก แต่ตอนนั้นมีสาย
ตาหลายคู่ที่มองมา ผมจึงทำได้แค่นั่งนิ่งๆ ไว้อาลัยความปากพล่อยของตัวเอง และมองทิวาที่กำลังเดินจากไปราวกับพายุหมุน
เมื่อถูกทิวาเท ผมก็สับสนอยู่หลายวัน กระทั่งมีสายเรียกเข้าที่มือถือ ผมจึงยิ้มหน้าบาน
ผมมีลูกพี่ลูกน้องญาติฝั่งพ่อเป็นอาจารย์พิเศษที่ภาควิชาสถาปัตย
กรรมศาสตร์ พี่เขาชื่อโจ หรือ ทรงกลด ดีกรีนักเรียนนอกที่สาวๆ ติดตรึม ด้วยมาดแมนและรวยมากแถมมีบริษัทออกแบบเป็นของตัวเอง
บางครั้ง พี่โจเรียกผมไปเลี้ยงข้าวบ้าง และชอบซื้อขนมปัง แยมผลไม้ เนยถั่วมาฝาก แต่พักหลังเขาติดงานออกแบบโปรเจ็กต์ใหญ่ นานๆ ทีผมถึงจะเห็นหน้าหล่อๆ และดวงตาที่มีประกายวิบวับของเขาให้ได้ชื่นใจ
“เป็นไงเรา การเรียนเข้าที่เข้าทางหรือยัง”
เสียงนุ่มๆ กับท่าทีสุภาพของเขาทำให้ผมเคลิ้มเสียทุกครั้ง นี่ถ้าเขาไม่มีแฟนผู้หญิงมาก่อน ผมคงเหมาว่าพี่โจเป็นเก้ง และเก้งที่พร้อมผสมพันธุ์ได้ทุกเมื่ออีกด้วย
“ก็เหมือนเดิม ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้น ยกเว้นกิจกรรม Freshy Day & Night และเรื่องรับน้องครับ”
ผมบอกพี่โจ และอดตื่นเต้นไม่ได้เพราะงานสนุกแบบนี้ ผมได้รับผิดชอบให้ช่วยในหลายๆ อย่าง
“เรื่องรับน้องถ้าไม่อยากไปก็ปฏิเสธเขาสิ ตอนนี้คณบดีออกกฎว่าให้เป็นความสมัครใจของน้องๆ ใครไม่พร้อมก็ไม่ต้องไป”
“อ่า ครับ...แต่พี่รหัสและรุ่นพี่ต้อนรับผมดีทุกคน” ผมแย้ง
ทุกคนดีกับผมจริงๆ แม้ผมจะชอบแสดงความเปิ่นเป๋อให้พวกเขาเห็น และนั่นก็เป็นสีสันที่ผมชอบมากเสียด้วย ชีวิตเหงาๆ เลยมีอะไรให้ตื่นเต้น
“พี่ก็แค่เป็นห่วง อานพฝากฝังไว้ ยังไงเราก็เป็นญาติกัน”
เขายิ้มกว้าง รอยยิ้มช่างเปิดเผย ดูจริงใจ และรอยยิ้มนี้ประทับอยู่ในใจผมตั้งแต่เป็นเด็ก พี่โจคือชายหนุ่มที่ใครๆ อยากอยู่ใกล้ ยิ่งในตอนนี้เขาเพียบพร้อมด้วยหน้าที่การงาน แถมมีเสน่ห์แรงมากเพราะกำลังโสด ตามที่ผมได้ยินจากปากเขา
“ขอบคุณครับพี่โจ” ผมยกมือไหว้
