บทที่ 5 พานพบอีกครา 2
ถึงกระนั้นความหวังก็ยังริบหรี่ เพราะต่อให้นางพยายามตามหาเบาะแสเท่าใด ก็ไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้น เหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้
‘บางทีเขาอาจจะเป็นคนต่างเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก หรืออาจจะเป็นเทพจากสวรรค์ที่มาช่วยนางจากประตูผี เมื่อเสร็จธุระก็บินกลับสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้วกระมัง’
เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มขื่นก็ปรากฏ จะมีเหตุผลอันใดเล่า เขาก็แค่คนที่ผ่านมาเท่านั้น ทั้งสองไม่เคยรู้จักมักคุ้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่บุรุษผู้หนึ่งจะต้องสานสัมพันธ์หรือเป็นห่วงเป็นใยสตรีที่บังเอิญได้ช่วยเหลือ
นั่นล่ะคือความจริง
ทางที่ดีนางควรลืมเรื่องที่เสี่ยวจูพูด การต่อลมหายใจเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ใช้ช่วยชีวิตคนเท่านั้น ในเมื่อไม่มีข่าวลือเสียหาย นางก็ยังคงรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ได้มิใช่หรือ
นิ้วเรียวลูบลงบนกลีบปากอย่างช้าๆ หลี่จื่อเหยาแทบจำสัมผัสอันพร่าเลือนจากการถ่ายทอดอากาศสู่กายนางมิได้ พอมาคิดอีกที ถึงแม้ชายผู้นั้นจะทำลงไปเพราะต้องการช่วยเหลือก็ตาม แต่นั่นไม่เท่ากับว่าจูบแรกของนางได้ถูกขโมยไปแล้วหรือ
‘ช่างเถิด’
หลี่จื่อเหยาถอนหายใจ อย่างไรการเฝ้ารอคนผู้นั้นอย่างเปล่าประโยชน์กำลังจะสิ้นสุดแล้ว หลังจากคืนนี้ไป ผู้เป็นพี่ชายคงเฟ้นหาบุรุษที่เหมาะสมมาเป็นเจ้าบ่าวของนางได้ เช่นนั้นแล้วในภายภาคหน้า นางก็ต้องซื่อสัตย์และคิดถึงสามีแต่เพียงผู้เดียว ไม่อาจคำนึงถึงชายอื่นได้อีก
ฉับพลันลมกลางคืนพัดกลิ่นหอมแปลกประหลาดสู่นาสิก
‘กลิ่นนี้มัน... ไม้กฤษณา’
ร่างงามระหงหมุนกลับไปทางด้านหลัง นัยน์ตาสุกใสดุจดวงดาวสั่นระริก เมื่อประสานเข้ากับดวงแก้วสีนิลที่นางเฝ้าคิดถึง
หลี่จื่อเหยามองบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นางเฝ้าตามหาเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถึงเคยล้มเลิกความคิดกี่ครั้งกี่หน สุดท้ายก็กลับไปยืนอยู่บนสะพานนั่น เพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะได้พบใครบางคน แต่ไม่เคยสมประสงค์เลยแม้สักครั้ง
ช่างน่าขันนัก นางตามหาเขาทุกที่อย่างไรก็ไม่พบ แต่กลับมาพบกันอีกครั้งในรั้วบ้านของตนเอง
ถ้าจะบอกว่าสวรรค์เล่นตลกนางก็เชื่อ
เสียงหัวเราะกระจ่างใสดุจระฆังเงินดังออกมาจากริมฝีปากอิ่ม ทำให้บุรุษหล่อเหลาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่ทราบว่าหน้าของข้ามีสิ่งผิดปกติติดอยู่หรือ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขายังเหมือนกับเมื่อวันวาน หลี่จื่อเหยาจึงมั่นใจแล้วว่านางจำคนไม่ผิดแน่
“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ”
“หือ เช่นนั้นคุณหนูหัวเราะด้วยเหตุใด บอกข้าได้หรือไม่เล่า”
“ผู้น้อยเสียมารยาทแล้ว คุณชายได้โปรดอย่าถือสา” นางจะบอกได้อย่างไรว่าที่หัวเราะ เพราะเผลอดีใจเมื่อเห็นหน้าเขา
“ข้าเองก็มาไม่ให้สุ้มเสียง คงทำให้คุณหนูตกใจกระมัง ถือว่าแล้วกันไปเถิด”
“ขอบคุณ คุณชาย... เอ่อ คุณชายท่านนี้ ที่ไม่ถือสาข้า”
“ชื่อของข้าคือมู่หรงอี้หวาย ส่วนเจ้าก็คงเป็นคุณหนูหลี่จื่อเหยาผู้งดงาม ไม่ผิดแน่”
“คะ...คุณชายมู่หรง” ริมฝีปากเอ่ยทวนชื่อนั้นอย่างแผ่วเบา ในขณะที่ใบหน้ารูปแตงซับสีชาดอย่างไม่อาจควบคุม วันวานเขาใช้ริมฝีปากหยักนั่นต่อชีวิตให้กับนาง ส่วนวันนี้ใช้เอ่ยคำหวานชื่นชม บุรุษผู้นี้จะสร้างความหวั่นไหวให้หัวใจดวงนี้อีกกี่ครั้งกันนะ
มู่หรงอี้หวายขยับยิ้มเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั่น น่ามองขึ้นอีกสามส่วน นางไม่เคยพบบุรุษที่มีรอยยิ้มแสนอบอุ่นอ่อนโยนถึงเพียงนี้มาก่อน จึงอดสงสัยมิได้ว่าเขาเป็นเทพบุตรหรืออย่างไร
ในระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังใช้ความคิด ชายหนุ่มก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ทีละน้อย พอรู้ตัวอีกครั้ง นางกับเขาก็ยืนห่างกันไม่เกินหนึ่งเซี่ย[1] เสียแล้ว
การจู่โจมแบบกะทันหันนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกตกใจจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่อีกฝ่ายก็เดินหน้ามาหนึ่งก้าวเช่นเดียวกัน
“นี่คุณหนูหลี่ลืมข้าจนสิ้นแล้วหรือ” คำถามของเขาช่างแผ่วเบา ให้ความรู้สึกว่าผู้พูดกำลังน้อยเนื้อต่ำใจ ประกอบกับใบหน้านั้นปรากฏร่องรอยแห่งความผิดหวังอย่างชัดเจน “น่าปวดใจยิ่งนัก”
ความตื่นเต้นรวมไปถึงคำถามที่เกิดขึ้นในหัวไม่หยุดนั้น ทำให้หัวใจของหลี่จื่อเหยาเต้นแรงแทบจะกระดอนออกมาจากอก บุรุษผู้นี้กำลังผิดหวังที่นางลืมเลือนเขาอย่างนั้นหรือ แสดงว่าที่ผ่านมานั้น ชายผู้นี้ไม่ได้ตั้งใจจะหนีหน้านาง ใช่หรือไม่
“มิได้” นางตอบเขาไปเพียงเท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วยังมีคำพูดอีกมากมายนักที่ต้องการจะเอื้อนเอ่ย
“แล้วเหตุใดจึงทำท่ารังเกียจถึงเพียงนั้นเล่า ข้านึกว่าคุณหนูหลี่จะยินดีเมื่อได้เห็นใบหน้านี้เสียอีก” มู่หรงอี้หวายเอ่ยตัดพ้อ ประหนึ่งว่านางได้ทำร้ายจิตใจ ของเขาอย่างรุนแรง
“ข้าไม่มีทางตั้งแง่รังเกียจผู้มีพระคุณอย่างแน่นอน หลังจากฟื้นขึ้นมา วันรุ่งขึ้นข้าก็เที่ยวตามหาท่าน แต่ก็ไม่พบ”
เมื่อได้ยินคำตอบจากนาง ใบหน้าคมก็กลับมาเปื้อนยิ้มทรงเสน่ห์อีกครั้งหนึ่ง
มู่หรงอี้หวายเดินไปข้างหน้าอีกก้าว คราวนี้หลี่จื่อเหยามิได้ถอย
“ข้าขอชี้แจง ในวันนั้นผู้คนมากมายต่างเห็นข้าอุ้มร่างที่เปียกปอนและไร้ลมหายใจของคุณหนูหลี่ขึ้นจากน้ำ หากจะพาเจ้ากลับมาจากปากประตูผีก็มีแต่ต้องใช้วิธีถ่ายทอดลมหายใจให้”
เขาหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง พร้อมส่งแววตาอันยากจะ คาดเดาไปให้หลี่จื่อเหยา
“เพื่อรักษาชื่อเสียงของคุณหนูหลี่เอาไว้ ข้าจึงให้คนไปจัดการปิดปากผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ในบริเวณนั้นทั้งหมด”
คราวนี้หลี่จื่อเหยาเข้าใจสถานการณ์อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ทำให้ความรู้สึกที่อัดอั้นมานานได้รับการคลี่คลาย ใบหน้ามลประดับรอยยิ้ม
“มิน่าเล่า ผู้คนในบริเวณนั้นถึงได้ทำประหนึ่งว่าไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
“หากมีเงินย่อมสามารถใช้ผีโม่แป้งได้ นับประสาอะไรกับแค่เรื่องปิดข่าว”
“แต่คุณชายก็เอาแต่หลบหน้าข้า แม้แต่จะมาเยี่ยมเยียนสักครั้งก็ยังไม่เคย” หลี่จื่อเหยามิวายตัดพ้อ
“ใครว่า หลังจากพาคุณหนูกลับบ้านสกุลหลี่แล้ว ข้ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ ความจริงตั้งใจจะกลับมาเยี่ยมเยียนในภายหลัง แต่นึกไม่ถึงว่าท่านพ่อจะส่งข้าไปต่างเมือง มิหนำซ้ำยังมอบหมายให้อยู่ประจำการที่นั่นนานหลายเดือน”
หลี่จื่อเหยาพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจเหตุผลของเขา
“ที่แท้คุณชายหายไปเพราะไม่ได้อยู่เมืองหลวงนี่เอง”
“เป็นเช่นนั้น”
“ตอนแรก ข้านึกว่าคุณชายรังเกียจที่ข้าเป็นเพียงคุณหนูร้านธัญพืชเล็กๆ เสียอีก ถึงได้ทำตนเป็นคนลึกลับ” ถึงร้านค้าตระกูลหลี่จะใหญ่เรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดในย่านการค้าฝั่งตะวันตก แต่ถ้าเทียบกับตระกูลคหบดีของมู่หรงอี้หวายแล้ว ก็นับว่าเล็กไปจริงๆ
[1] เซี่ย ระยะประมาณ 33.33 ซม. หรือ 1/3 เมตร
