บทที่ 6 พานพบอีกครา 3

“จะเป็นไปได้อย่างไร คุณหนูงดงามถึงเพียงนี้จะมีตรงที่ใดให้ข้านึกรังเกียจได้บ้างเล่า หืม” เขาคว้ามือขาวเนียนของนางมากอบกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีนิลดุจท้องฟ้ายามรัตติกาลช่างดึงดูดหัวใจยิ่ง

“ขะ...ข้าไม่รู้ว่าคุณชายหายไปด้วยเหตุใด จึงคิดว่าท่านหนีหน้า เพราะ ไม่ต้องการรับผิดชอบเรื่อง...” หลี่จื่อเหยายั้งปากของตนเองเอาไว้เกือบไม่ทัน แต่นางจะพูดเรื่องน่าอายเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า

บุรุษหล่อเหลาออกแรงดึงมือเพียงเล็กน้อย ร่างบอบบางในอาภรณ์สีแดงก็เคลื่อนเข้าปะทะกับอกแกร่ง เขาตวัดแขนกระชับอ้อมกอดให้แนบสนิท ไม่ยินยอมให้หญิงสาวผู้ตื่นตระหนกดิ้นหลุดจากพันธนาการ

“ใครว่า ข้าอยากกลับมารับผิดชอบใจจะขาด”

การจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หลี่จื่อเหยาแทบละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ เขากับนางอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมากจนลมหายใจอุ่นร้อนของบุรุษรินรดลงบนแก้มนวล หญิงสาวไม่อาจควบคุมก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่กำลังเต้นถี่รัว ใบหน้าของนางทั้งเห่อร้อนและแดงระเรื่อราวกับคนต้องพิษไข้

แต่ถึงอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิด หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าย่อมไม่ดีแน่ หลี่จื่อเหยาดิ้นขลุกขลักอย่างน่าสงสาร แต่มู่หรงอี้หวายก็ไม่มีท่าทีจะยอมปล่อยให้นางเป็นอิสระ

“ท่านผู้มีพระคุณปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” นางดิ้นจนหมดแรง จึงใช้วิธีร้องประท้วง หวังว่าเขาจะปรานี

“คุณหนูหลี่เรียกข้าว่าอะไรนะ”

“ผะ...ผู้มีพระคุณ”

“จริงสินะ ข้าช่วยชีวิตของคุณหนูหลี่เอาไว้ ย่อมต้องเป็นผู้มีพระคุณ”

“จุดประสงค์ที่ข้าตามหาท่านก็เพื่อทดแทนบุญคุณ ไม่ได้หวังให้รับผิดชอบ เรื่อง... อะไรนั่น” หลี่จื่อเหยารีบอธิบาย นางหวังว่าเขาจะเชื่อแล้วลืมคำพูดเหลวไหลก่อนหน้านี้

“อืม เป็นเช่นนี้หรอกรึ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไร บางอย่าง “ก็ได้ ไหนลองว่ามาสิ คุณหนูหลี่คนงามจะทดแทนพระคุณข้าเยี่ยงไร”

“ท่านผู้มีพระคุณต้องการสิ่งใดเล่า จื่อเหยายินดีจะตามหามาให้ท่าน แต่หากตระกูลหลี่มีสิ่งนั้นอยู่ในครอบครองก่อนแล้ว ขอเพียงท่านเอ่ยปาก ข้าจะขอร้องพี่ชายให้ยกสิ่งนั้นให้โดยไม่ลังเล”

มู่หรงอี้หวายขมวดคิ้ว เขานิ่งไปครู่หนึ่งด้วยกำลังใช้ความคิด

“หากข้า ต้องการ เจ้ายินดีมอบทุกอย่างเลยหรือ”

“ข้าหลี่จื่อเหยาให้คำมั่น เช่นนี้แล้วผู้มีพระคุณพอใจหรือไม่”

“ดี ดีมาก ข้าพอใจยิ่งนัก” มู่หรงอี้หวายกลั้วหัวเราะประหนึ่งได้ฟังเรื่อง น่ายินดี

“โปรดบอกมาเถิด ท่านผู้มีพระคุณต้องการสิ่งใด”

“ข้าต้องการเจ้า”

“ได้เจ้าค่ะ อะ... เดี๋ยวก่อน ท่านว่าอย่างไรนะ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยอารามตกใจ นางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“ข้า-ต้อง-การ-เจ้า” มู่หรงอี้หวายพูดอย่างช้าๆ ชัดๆ ทีละถ้อยคำ เขาสบตาของนางโดยไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยง

เมื่อได้ยินคำขออันหนักแน่นนั้นอีกครั้ง หลี่จื่อเหยาได้แต่อ้าปากค้าง ทำอันใดไม่ถูก

หากจะบอกว่าบุรุษผู้นี้เพียงหยอกเย้าเล่นก็คงไม่ใช่ เพราะน้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นไม่เจือแววขบขันเอาไว้แม้แต่น้อย นางยังคงตระหนกจึงไม่กล้าตอบรับในทันที ได้แต่ก้มหน้างุด

“ว่าอย่างไรเล่าสาวน้อย” มู่หรงอี้หวายเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหูลมหายใจอันร้อนผ่าวของบุรุษต้องกระทบจุดอ่อนไหวบนใบหูจนเกิดสีชาด

หลี่จื่อเหยาแทบสิ้นเรี่ยวแรงพยุงกาย แต่ที่ไม่ล้มลงไปกับพื้นเพราะมูเหรงอี้หวายยังคงพันธนาการนางเอาไว้ในอ้อมแขน ซึ่งจะปล่อยเอาไว้เช่นนี้คงไม่ได้

สาวน้อยจึงรวบรวมความกล้า นางเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แล้วเอ่ยถาม อีกครั้งด้วยเสียงอันสั่นเทา “ทะ...ท่านต้องการข้า”

“ถูกต้อง และอย่าจงได้คิดบิดพลิ้วเพราะเจ้าให้คำมั่นแล้ว”

“ตะ...แต่ว่า... อุ๊บ...”

มู่หรงอี้หวายไม่ปล่อยให้สตรีในอ้อมแขนเอ่ยอันใดอีก เขาหยุดคำพูด เหล่านั้นด้วยการครอบครองริมฝีปากอิ่มงาม

เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวบดเบียดกลืนกินคำพูดของตนจนหมดสิ้น ความรู้สึกสับสนปนเปถาโถมเข้าใส่หลี่จื่อเหยา นางไม่ได้รังเกียจเขา ทว่าก็หวาดกลัวกับสิ่งที่ชายหนุ่มหยิบยื่นให้

ความรู้สึกบางอย่างเริ่มเด่นชัด นางตามหาบุรุษผู้นี้เพราะนัยน์ตาสีนิลคู่นั้นติดตรึงอยู่ในส่วนลึก เขาพานางกลับมาจากประตูผี แต่กลับคว้าหัวใจของนางไป มิหนำซ้ำตอนนี้ยังช่วงชิงจูบจากริมฝีปากนางโดยไม่ถามไถ่อีกแล้ว

ช่างเอาแต่ใจยิ่งนัก!

ความจริงตนควรจะผลักเขาออกไป แต่ทุกสัมผัสยามที่ริมฝีปากบางประทับลงมานั้นช่างแผ่วเบา ละมุนละไมและหวานล้ำราวกับน้ำผึ้ง จนหญิงสาวไม่อาจถอนตัวถอนใจ

มู่หรงอี้หวายไม่ได้ตะโบมจูบ ทว่าละเลียดชิมอย่างเชื่องช้า ลิ้นอุ่นร้อนค่อยๆ ไล้เลียกลีบปากสีกุหลาบประหนึ่งจะอ้อนวอนให้อีกฝ่ายตอบรับความวาบหวามนี้ และทันทีที่หลี่จื่อเหยาเผยอรอยแยกสีหวาน ลิ้นปราดเปรียวจึงแทรกลึกเข้าสู่อาณาเขตแห่งมธุรส

เขาสำรวจและดูดกลืนความหวานจนถ้วนทั่ว แทบไม่มีที่ใดที่ชายหนุ่มจะไม่ลิ้มลอง ลิ้นนุ่มไร้ประสบการณ์ได้แต่ป่ายปัดสะเปะสะปะไปมาอย่างขลาดกลัว บุรุษผู้ช่ำชองเชิงรักจึงตวัดดูดดึงปลายลิ้นที่สั่นระริกนั้นเอาไว้อย่างนุ่มนวล ประหนึ่งจะเชิญชวนให้อีกฝ่ายเรียนรู้และตอบสนอง

เขาเร่งจังหวะให้เร่าร้อนมากขึ้น ลิ้นร้ายเกี่ยวกระหวัดรัดรึง เคล้าคลึงจนบังเกิดเสียงครางหวานในลำคอระหงของนาง

ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด สติของหลี่จื่อเหยายิ่งรางเลือนลงทุกที ลมหายใจกำลังถูกช่วงชิง นางเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก จูบของเขาช่างทรมานและหอมหวานในเวลาเดียวกัน

หากจะเปรียบเป็นสุรา จุมพิตของมู่หรงอี้หวายคงเหมือนเหล้าผลไม้รสชาติหอมหวาน ฤทธิ์ไม่ได้ร้อนแรง แต่ยิ่งดื่มก็ยิ่งต้องการมากขึ้น... มากขึ้น ด้วยลุ่มหลงในรสชาติอันยากจะปฏิเสธ รู้ตัวอีกครั้งนางก็ถูกมอมเมาจนยากจะไถ่ถอนเสียแล้ว

ยามนี้หญิงสาวถูกชายหนุ่มผู้เอาแต่ใจสูบเรี่ยวแรงไปจนแทบจะหมดสิ้น แขนบอบบางเลื่อนขึ้นเพื่อโอบต้นคอแกร่งไว้เป็นหลักยึด นิ้วเรียว ดุจลำเทียนแทรกเข้าไปในเส้นไหมนุ่มลื่น พลางลูบไล้ไปตามอารมณ์จะนำพา

“เด็กดี เจ้าช่างหอมหวานกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากนัก” เขากระซิบชิดริมฝีปาก อิ่มงาม

ใบหน้าสะคราญโฉม แดงระเรื่อ นัยน์ตาฉ่ำปรือด้วยยังไม่ตื่นจากห้วงเสน่หาที่เขามอบให้ นางหอบหายใจ จนริมฝีปากสีชาดสั่นระริก แม้นางไม่ได้ตั้งใจยั่วยวน แต่ผู้ใดได้เห็นภาพนี้ย่อม ทนไม่ไหวทั้งนั้น

“คุณชายได้รางวัลแล้วก็ปล่อยจื่อเหยาเถิด”

“ต่อไปถึงคราข้าให้รางวัลเจ้าบ้างต่างหากเล่า” ใบหน้าหล่อเหลาแขวนไว้ ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ เขาเชยคางของนางขึ้นพลางใช้นิ้วเรียวยาวเกลี่ยริมฝีปากสีชาดที่กำลังบวมเป่ง เพราะฤทธิ์จากจุมพิตร้อนแรง “ว่าอย่างไร เจ้ายินดีรับไว้หรือไม่เล่า ข้าสัญญาว่าจะทำให้ดีกว่าเมื่อครู่”

ชายหนุ่มโน้มศีรษะลงมาอย่างช้า แล้วหยุดในขณะที่ริมฝีปากของคนทั้งสองห่างกันเพียงนิดเดียว นัยน์ตาสีนิลจดจ้องนางราวกับ กำลังถามหาคำตอบ

“คุณชายมู่หรง...” นางเอ่ยออกมาดั่งคนละเมอ แต่เขากลับทึกทักว่านั่นคือ คำตอบตกลง

ริมฝีปากบางค้นหากลีบกุหลาบสีหวานได้แทบจะทันที ฟันคมขบ ริมฝีปากล่างเพื่อหยอกเย้าและลองเชิง เมื่อหญิงสาวหลับตาพริ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม เขาจึงเติมเต็มความรู้สึกด้วยจุมพิตอย่างสมบูรณ์

ลิ้นร้อนลากไล้ชิมความหวานหอม จากภายนอกเข้าสู่โพรงปากหวานฉ่ำ ตวัดกระตุ้นเร้าลิ้นนุ่มเล็กให้ตอบสนองไปตาม ท่วงทำนองแห่งความปรารถนาที่นางไม่เคยรู้จัก ท่าทางเงอะงะไร้ประสบการณ์ยิ่งกระตุ้นให้หมาป่าอยากลิ้มลองรสชาติของกระต่ายน้อย

มือแกร่งเริ่มลูบไล้ไปตามเรือนกายเพื่อกระตุ้นสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ของชายหญิง พร้อมกับสำรวจร่างระหงนุ่มนิ่มไปในตัว เขาพบว่าหญิงสาววัยดรุณ ผู้นี้มีรูปร่างสมบูรณ์แบบ สะโพกผึ่งผาย หน้าอกกลมกลึง หนำซ้ำยังไวต่อการ รับสัมผัสอีกด้วย

สตรีที่มีคุณสมบัติเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ช่างเหนือความคาดหมาย และนั่นยิ่งทำให้เขาอยากฉีกกระชากความบริสุทธิ์นี้ให้แหลกสลายคามือ

ไม่นานนักนางก็เริ่มเรียนรู้ที่จะตอบสนอง รสจูบจึงยิ่งร้อนแรงเป็นเท่าทวี ทั้งสองต่างพยายามช่วงชิงความหอมหวานของกันและกัน ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัด ดูดดื่มรุกรานไปทั่วโพรงปากราวกับคนหิวกระหาย

ยิ่งสัมผัสกันมากเท่าใดยิ่งรู้สึกว่าไม่พอ

เสียงคำรามดังขึ้นในลำคอแกร่ง เมื่อหญิงสาวตอบโต้ลิ้นร้ายด้วยฟันคม ชายหนุ่มตอบโต้โดยการเคล้าคลึงสะโพกกลมกลึง เขาถอนจุมพิตที่ริมฝีปากงาม ก่อนจะซุกไช้ซอกคอหอมกรุ่น ดูดดึงประทับตราสีกุหลาบลงไปเพื่อประกาศว่า นางเป็นของเขาแต่ผู้เดียว

เสียงครางแว่วหวานอย่างควบคุมตนเองไม่ได้เล็ดลอดออกมาในที่สุด มู่หรงอี้หวายลอบยิ้มอย่างย่ามใจ สตรีผู้นี้คงตกลงไปในหลุมลึกแห่งเสน่หาที่เขาขุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

‘หลี่จื่อเหยา ในที่สุดเจ้าก็อยู่ในกำมือข้าแล้ว’

บทก่อนหน้า
บทถัดไป