บทที่ 7 ปลาอ้วนนามมู่หรงอี้หวาย
ระหว่างที่มู่หรงอี้หวายกำลังจุมพิตหลี่จื่อเหยาอย่างดูดดื่มอยู่นั้น หลี่เค่อที่ตามหาน้องสาวอยู่ก็ผ่านมาพบคนทั้งคู่เข้าพอดี
ไฟโทสะของผู้นำสกุลหลี่พวยพุ่ง นัยน์ตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น แทบอยากจะถลาเข้าไป ฆ่าบุรุษที่กำลังลิ้มชิมผลไม้สุกที่เขาลงทุนลงแรงอย่างยากเย็นเสียให้ตายคามือ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าเป็นผู้ใด ปล่อยน้องสาวของข้าเดี๋ยวนี้”
พอถูกขัดจังหวะ มู่หรงอี้หวายถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง พลางสบนัยน์ตาดุจกวางน้อยที่กำลังสั่นระริก เขาไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอันแสนอบอุ่นให้หลี่จื่อเหยา ก่อนจะคลายอ้อมกอดอย่างเชื่องช้า โดยไม่สนใจบุรุษที่กำลังเดือดดาลอยู่ด้านหลังสักนิด
การกระทำอันแสนท้าทายทำให้หลี่เค่อโมโหยิ่งขึ้น เขาขบกรามแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน
“เจ้ากล้าลวนลามน้องสาวของข้าในเขตบ้านสกุลหลี่ นี่มันหยามกันชัดๆ”
มู่หรงอี้หวายปรับสีหน้าเป็นคุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกอีกครั้ง เขาหันไปเผชิญหน้ากับประมุขสกุลหลี่อย่างใจเย็น
“นายท่านหลี่ได้โปรดลดโทสะลงก่อน ข้าต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“หึ! แค่ขอโทษคำเดียวจะให้แล้วกันไปหรือ คิดง่ายไปหน่อยกระมัง”
“เป็นความผิดของข้าที่ไม่รู้จักควบคุมตนเองให้ดี และเพื่อไม่ให้คุณหนูหลี่ถูกครหา ข้ายินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”
“บัดซบ! น้องสาวของข้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง เจ้าเพียงฉวยโอกาส คิดเด็ดดอกฟ้า จึงกระทำการเยี่ยงนี้ แล้วจะให้ข้าวางใจยกนางให้เจ้าได้หรือ ช่างน่าขันเสียจริง” หลี่เค่อยิ้มเย้ยหยัน จ้องมองอีกฝ่ายอย่างดูแคลน ถึงแม้เสื้อผ้าจะเป็นของชั้นดี แต่ประเมินจากรูปร่างหน้าตาคาดว่าคงยังอายุน้อยท่าทางคงจะเป็นพวกเศรษฐีใหม่ หรือไม่ก็พ่อค้าไร้ชื่อเสียง ซึ่งเขาไม่ต้องการจะเกี่ยวดองด้วย
ถึงมู่หรงอี้หวายจะถูกผู้นำตระกูลหลี่ประเมินด้วยสายตาอันไม่เป็นมิตร ทว่าใบหน้าคมยังคงเรียบสนิทดุจพื้นน้ำอันนิ่งสงบในสระใหญ่ ไม่มีอาการตกประหม่าแม้แต่น้อย
“เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำนายท่านหลี่ขุ่นเคือง นอกจากเงินสินสอดแล้ว หากท่านประสงค์สิ่งใดขอเพียงเอ่ยออกมา รับรองว่าข้าจะจัดหาให้ทั้งหมด โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งเดียว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเป็นจังหวะ ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรปรากฏรอยยิ้มอันน่าดึงดูดใจ เขาเสนอผลประโยชน์ เพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ หากนี่เป็นการต่อรองซื้อขาย ชายผู้นี้ก็นับเป็นมืออาชีพ
ความใจเย็นและท่าทีสุภาพดูเป็นมิตรทำให้ให้หลี่เค่อลดโทสะลงเล็กน้อย เมื่อเขาลองพิจารณารูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกครั้งก็รู้สึกคุ้นอยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบอีกฝ่ายที่ใด
“เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่” หลี่เค่อถามออกไปเพราะยังกังขา
“เคย เพียงแต่ข้าในยามนั้นไม่ได้มีความสำคัญอันใดในสายตาท่าน หากจะลืมเลือนย่อมไม่แปลก”
“หึ! งั้นข้าก็คงเดาไม่ผิด เจ้าก็เป็นเพียงเศรษฐีใหม่ที่หมายจะตกถังข้าวสาร เพื่อยกฐานะตระกูลตัวเองสินะ”
มู่หรงอี้หวายส่งยิ้มประหลาดไปยังหลี่เค่อ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียง ที่เข้มขึ้น “ข้าไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น นายท่านหลี่ระวังคำพูดด้วย”
เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทีเลิกแสดงความนอบน้อม หลี่เค่อก็พร้อมจะสร้าง กำแพงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพราะสำหรับเขาอีกฝ่ายก็แค่เด็กเมื่อวานซืนเท่านั้น
“ช่างอวดดี เจ้าใหญ่โตมาจากที่ใดกัน”
“นามของข้าคือมู่หรงอี้หวาย คงใหญ่พอกระมัง” ชายหนุ่มจดจ้องผู้นำตระกูลหลี่เขม็ง
“อะไรนะ มะ...มู่หรง คุณชายมู่หรงหรือ”
มู่หรงอี้หวายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายคมกริบ ประหนึ่งจะตำหนิหลี่เค่อว่ามีตาหามีแววไม่ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางตกอกตกใจ บุตรชายคหบดีใหญ่ก็อยากจะหัวเราะให้ดังสนั่น แต่ก็เก็บความต้องการนั้นเอาไว้ภายใต้ใบหน้าของคุณชายผู้เพียบพร้อม เขาเปลี่ยนท่าทีนอบน้อมกลับไปเป็นบุรุษที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สง่าราศีของทายาทตระกูลใหญ่ฉายชัดในทันที
“สามเดือนก่อนข้าช่วยชีวิตคุณหนูหลี่เอาไว้ แต่มีเหตุต้องจากไปโดยไม่บอกกล่าว เมื่อได้รับเทียบเชิญให้มาร่วมงานวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าจึงถือโอกาสมาพบนางอีกครั้งหนึ่ง
บอกตามตรงว่าข้าพึงใจน้องสาวของท่าน เมื่อครู่จึงเผลอไผล ไม่ควบคุมตนเองจนล่วงเกินนางเข้า แต่ในเมื่อข้าต้องการแสดงความรับผิดชอบ เหตุใดท่านต้องทำให้ยุ่งยากด้วยเล่า หรือตระกูลมู่หรงนั้นต่ำต้อยเกินไป ตระกูลหลี่จึงดูถูกดูแคลน”
“มิได้ๆ หากคุณชายมู่หรงถูกใจเหยาเหยาก็นับเป็นวาสนาของนางแล้ว” หลี่เค่อเปลี่ยนท่าที รีบเอ่ยประจบประแจง
“หรือหูข้าจะมีปัญหา เมื่อครู่ท่านบอกว่าข้ามู่หรงอี้หวายไม่คู่ควรกับนาง ซ้ำยังกล่าวหาว่าทายาทคหบดีเช่นข้าหมายจะกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารอีกด้วย”
“คุณชายมู่หรงได้โปรดอย่าถือสา โทสะบังตาทำให้ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ”
มู่หรงอี้หวายกระตุกมุมปาก “ท่านคงมีโทสะ เพราะรักน้องสาวมากสินะ ความจริงข้าเองก็เป็นคนใจกว้าง เช่นนั้นจะไม่บอกกับท่านพ่อก็แล้วกันว่า นายท่านหลี่รังเกียจทายาทตระกูลมู่หรง”
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของหลี่เค่อ เขารู้สึกเสียใจที่แสดงโทสะก่อนจะล่วงรู้ฐานะของอีกฝ่าย
ตระกูลมู่หรงเป็นคหบดีมาหลายชั่วอายุคน ประมุขคนปัจจุบันมีทายาทเพียงแค่คนเดียวนามมู่หรงอี้หวาย ไม่ต้องพูดถึงความร่ำรวย อำนาจทางการค้ารวมไปถึงสัมปทานต่างๆ ล้วนอยู่ในกำมือพวกเขาทั้งสิ้น
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวหลี่เค่อแทนที่ความตระหนก เพราะหากฟังไม่ผิด คุณชายมู่หรงเพิ่งบอกจะว่าพึงใจหลี่จื่อเหยามิใช่หรือ
ถ้าทั้งสองได้เกี่ยวดองกัน ย่อมเป็นผลดีกับตระกลูหลี่
สรุปว่าชายผู้นี้คือปลาตัวอ้วนที่เขารอคอยอยู่ไม่ใช่หรือ แต่เมื่อครู่ตนใจร้อนจึงทำให้อีกฝ่ายโกรธเคือง หากเหยื่อหลุดรอดไปก็คงน่าเสียดายยิ่งนัก
‘แย่แล้ว หากคุณชายมู่หรงโกรธจนไม่ยอมรับผิดชอบเหยาเหยาเล่า ข้าจะทำอย่างไรดี’
หลี่จื่อเหยาที่ยืนดูเหตุการณ์มาสักครู่แล้ว พลันคิดตามถึงเรื่องที่คนทั้งสองพูดคุยกัน
หากถามหาความเหมาะสม ก็เห็นว่าตนเป็นเพียงบุตรสาวร้านค้าที่กิจการไม่ได้รุ่งเรืองดั่งเก่าก่อน ย่อมไม่คู่ควรกับบุรุษผู้เกิดมาบนกองเงินกองทองเช่นมู่หรงอี้หวาย สุดท้ายแล้วเทพบุตรก็ควรจะอยู่แค่ในความฝัน เช่นนั้นนางควรจะตื่นได้แล้ว ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
หลี่จื่อเหยาพลันออกปาก ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก
“คุณชายมู่หรงในเมื่อท่านพี่กล่าวลบหลู่ตระกูลท่าน เรื่องเมื่อครู่ก็ให้แล้วกันไปเถิด ข้าจะถือเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”
“เหยาเหยา เจ้าพูดบ้าอะไรกัน!” หลี่เค่อตวาดด้วยอารามตกใจ ปลาตัวใหญ่อยู่ตรงหน้า แต่น้องสาวผู้แสนโง่เขลากลับเลือกที่จะปล่อยให้หลุดมือ
“บุตรสาวร้านค้าเล็กๆ ต่างหากที่ต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับท่าน ความจริงผู้ที่ควรถูกปฏิเสธน่าจะเป็นข้ามากกว่า” หลี่จื่อเหยายังคงก้มหน้าก้มตาพูดต่อไป โดยไม่ยอมแม้แต่จะสบตากับมู่หรงอี้หวาย เพราะเกรงว่าตนเองจะเผลอร้องไห้
มู่หรงอี้หวายหันกลับไปหาสตรีในชุดสีแดงเพลิงแทบจะทันที ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววตระหนกสุดขีด “มิได้ เจ้าให้คำมั่นกับข้าแล้ว ห้ามบิดพลิ้วเป็นอันขาด”
“แต่ว่า เมื่อครู่ข้ายังมิได้ตกลงอันใดกับคุณชายมู่หรงสักนิดเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าสามารถทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราได้จริงหรือ”
หญิงสาวกัดฟันข่มกลั้นความเสียใจ “จื่อเหยาจะพยายามลืมทุกอย่างเจ้าค่ะ คุณชายมู่หรงสบายใจได้”
“ไม่คิดว่าคุณหนูหลี่จะเป็นสตรีที่โหดร้ายยิ่งนัก ทั้งที่เมื่อครู่เจ้า... เจ้า...กับข้า ให้ตายเถอะ มันไม่มีความหมายสักนิดเลยใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เคยทุ้มนุ่ม แปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่า แม้แต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ซีดเผือด นัยน์สีดำสนิทดุจราตรีนั้นก็ปรากฏแววหวั่นไหว
